ชีวิตที่ต้องสู้...เพราะสู้แล้วชนะ

วันที่ 21-05-2010 | อ่าน : 6679


ชีวิตที่ต้องสู้...เพราะสู้แล้วชนะ 
( มะเร็งเต้านม )



โดย  ประมวล  แสงแก้วศรี
     

          ย้อนกลับไปเมื่อเกือบๆ 6 ปี ที่ผ่านมา ครั้งนั้นที่เริ่มรู้จักคำว่า “มะเร็ง” ก็เพราะว่ามะเร็งได้เกิดขึ้นกับแม่ แม่ของเราแท้ๆ และแม่ซึ่งตลอดชีวิตเราไม่เคยเห็นสิ่งที่แม่ทำแล้วเรารู้สึกว่าไม่ถูกต้องเลย ใครหนอที่เคยบอกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครหนอที่เคยบอกว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง คนที่ทำแต่ความดีมาทั้งชีวิต คนที่ทำแต่กรรมดีมาอย่างไม่เคยหยุดพัก ไม่เคยคิดที่จะย่อท้อออมือหรือลังเล  ที่จะทำความดี   ทำความดีอย่างสุดกำลังและคนแบบนี้เนี่ยนะ เป็นมะเร็ง บางคนอาจจะเถียงว่ามันเป็นคนละส่วนกัน ชีวิตคนเรา “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แลดับไป” แต่มันกำลังจะดับไปเร็วไปมั้ย ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้ตอบแทนความดีที่แม่ทำมา ยังมีอยู่อีกตั้งหลายเรื่อง กำลังใจที่มีมาจาก การที่เราเชื่อมั่นในความดีที่เห็นที่ทำอยู่ แต่ขอเห็นให้ผลกรรมดีเกิดในชาตินี้ไม่ได้หรือ หรือไม่ก็น่าจะให้คนที่ทำความดีมากๆ แล้ว เมื่อจะหมดอายุขัยก็น่าจะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ คนก็จะได้แห่กันทำความดีกัน หรือความจริงที่แท้เป็นเพียงกุศโลบายของศาสดาที่ปรารถนาให้คนในสังคมทำแต่ความดีกันก็เพียงเท่านั้น ธรรมชาติจ๋า ขออุทรณ์หน่อยได้มัย ทำไมมันถึงได้โหดร้ายเยี่ยงนี้
 
          ตุลาคม 2545 แม่เริ่มมีอาการปวดท้อง ทีแรกพวกเรา (ลูก) ก็คิดว่าแม่เป็นโรคกระเพาะกำเริบ เนื่องจากสมัยก่อนแม่ยังชีพและส่งเสียเลี้ยงดูลูกๆ ด้วยการเป็นช่างเสริมสวย ดัดผม และเย็บผ้า ด้วยอุปนิสัยที่น่ารักเป็นกันเองกับลูกค้า พูดจาไพเราะอ่อนหวาน พวกเราและคนใกล้ชิดทุกคนไม่เคยได้ยินคำไม่ดีจากแม่แม้แต่คำเดียว  แม้แต่คำเดียวจริงๆ เป็นสุดยอดของคุณแม่แท้ๆ พวกเรายังแอบภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ เพื่อนๆ มาที่บ้านเห็นแม่เรายังขอเป็นลูก พวกเรายังหวงไม่ให้ “อิจฉาล่ะซิ” (เราพูดกับเพื่อน) และด้วยลักษณะเฉพาะนี้เอง ที่ทำให้ลูกค้าของแม่เข้ามาให้แม่ดัดผม ตัดผม เอาเสื้อและกางเกง มาให้แม่เย็บ บางคนกระดุมหลุดเม็ดเดียวก็มาหาแม่ให้แม่ช่วยติดให้ เพียงเพื่อต้องการมาพูดคุยกับแม่ก็เท่านั้น การที่มีคนมาหามาก ทำให้แม่ไม่ได้พัก ดูๆ เหมือนจะโดนรุม แต่เป็นการรุมด้วยไมตรีจิต เพื่อหาเงินสุจริตมาเลี้ยงดูให้การศึกษาลูกๆ พวกเราก็ได้แต่เข้าใจในมุมเดียว จึงละเลยเรื่องสุขภาพไป
  
         ปลายปี 2545 แม่เริ่มมีอาการปวดท้องมากขึ้น  จนในที่สุดต้องเข้าโรงพยาบาล หมอสั่งให้ตรวจเลือดทำซีทีสแกน เข้าสู่กระบวนการตรวจอย่างละเอียด เมื่อถึงวันนัดฟังผล พวกเราเข้าไปนั่งฟังนิ่งไม่ได้กังวลสักนิด ยังยิ้มๆ กันด้วยซ้ำ เพราะคิดว่ายังไงๆ ก็แผลในกระเพาะอาหารแหง่ๆ คำว่ามะเร็งอย่าว่าแต่รู้จักแค่ไหนเลยสะกดยังงัยก็ยังสะกดไม่ถูก ความคิดที่ประมาทนี้เอง ท้ายสุดสักพักคุณหมอที่ดูแลคุณแม่ประจำก็เข้ามา บรรยากาศในวันนั้นเหมือนพวกเราเป็นจำเลยที่กำลังนั่งฟังคำพิพากษา หมอค่อยๆ เปิดเอกสารดูสักพัก บรรยากาศขณะนั้นเงียบมากๆ เงียบจนถึงขนาดได้ยินเสียงถอนหายใจของหมอ ซึ่งเป็นเสียงถอนหายใจที่เรามั่นใจว่าไม่เคยได้ยินเสียงถอนหายใจของใครที่ไหนดังเท่านี้มาก่อน  “แม่คุณเป็นมะเร็ง” พูดต่อว่า “เป็นมะเร็งตับขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร กระจายอยู่ 2 จุด ผ่าตัดไม่ได้เพราะเม็ดเลือดแตงต่ำมากๆ ให้เลือดก็ไม่ได้เพราะไปติดที่ม้ามกรองหมด มีอาการตับแข็งร่วมด้วย หมอมีแผนที่จะรักษาด้วยการทำ TOCE” พวกเราได้แต่นั่งมองหน้ากัน  ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนโดนนักกล้ามสัก 10 คน เอาไม้หน้า 3 มา คนละ 2 อัน แล้วช่วยกันรุมตีที่แสกหน้า มันเบลอๆ ชาๆ สมองที่เคยได้ชื่อว่าเฉลียวฉลาด กลับหยุดกึก สะดุด ทึบเหมือนคนไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเป็นใคร มาทำอะไร มาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร สักพักสติสัมปชัญญะค่อยๆ กลับมา แต่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือมะเร็ง อะไรคือม้ามกรองเลือดแดง อะไรคือ TOCE อะไร...และอะไร...ฯลฯ พวกเราคิดอยู่อย่างเดียวว่า แล้วแม่จะหายปวดท้องมั้ย เวลารักษามะเร็งแม่แล้วจะเจ็บมั้ยก็เท่านั้น
 
          นับจากวันนั้นหลังจากทำ TOCE ครั้งแรกตลอดเวลาเกือบๆ จะ 1,500 วัน ที่พวกเราผลัดกันเฝ้าดูแลแม่ พี่อ้อยพี่สาวคนรองถือว่าหนักสุด เนื่องจากอยู่บ้านเดียวกับแม่ ไหนจะมีภาระรับผิดชอบงานประจำไหนจะดูแลแม่ ไหนจะดูบ้าน ไหนจะมีภาระดูแลลูกเล็กๆ 2 คน (แถมคนโตเป็น Hyper Active) ต้องปรับวงจรชีวิตใหม่เกือบทั้งหมด ในขณะที่เราก็หนักไม่แพ้กัน ไหนจะรับผิดขอบงานประจำ ไหนจะเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสือ  ไหนจะเป็นนักศึกษาปริญญาโท ไหนจะช่วยภรรยาประกอบธุรกิจส่วนตัว  ไหนจะดูแลลูกๆ อยู่ในวัยเรียนพร้อมกันทั้ง 3 คน รวมถึงวันเสาร์-อาทิตย์ เดินทางไปหาคุณหมอหลายๆ ที่ ที่เพื่อนๆ ลูกศิษย์แนะนำมา และที่ดูจะเป็นกิจวัตรประจำวัน คือ การทำน้ำผักปั่นให้แม่ทานทุกๆ เช้า (หลังอ่านหนังสือเข้านอนเที่ยงคืนถึงตี 1) ตื่นขึ้นตี 4-ตี 5 มาแช่ผักผลไม้ เพื่อนำมาปั่นให้แม่ทานตอนเช้า 6 โมงเช้า ก่อนไปทำงานเป็นเช่นนี้ทุกวัน แม่ต้องหายนะ กำลังใจมาเพียบเลย พี่น้องผลัดกันมาดูแลแม่ อาบน้ำประแป้งให้ คิดว่ายังไงๆ แม่ต้องหาย พวกเราเดินมาถูกทางแล้ว เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ เห็นแม่ทานได้ขับถ่ายปกติ ยิ้มน้อยๆ ทุกครั้งที่เห็นลูกหลาน แค่นี้เราก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
 
         ราวปี 2547 แม่เริ่มเดินไม่ถนัด พวกเราเริ่มสงสัย ทำไมแม่ไม่มีแรงเหมือนเดิม ในที่สุดแม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อทำ TOCE อีกครั้ง หลังผ่าตัดหมอเรียกเราไปคุยสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะได้ยิน และไม่คิดว่าอยากจะได้ยิน ก็เรากำลังทำความดีเพื่อไถ่โทษการถูกจองจำและกำลังจะพ้นโทษ แล้วทำไมศาล (หมอ) จะให้มารับคำตัดสิน (ผลการรักษา) อีกได้ไง ไม่ยุติธรรม แต่สุดท้ายเราก็ได้ยินคำนั้น ซึ่งยังจำได้ดีจนถึงวันนี้ คำที่หมอบอกว่า “แม่จะอยู่กับเราไม่นาน หมอคิดว่าไม่เกิน 6 เดือน” เราถามว่าอะไรนะหมอ 6 เดือน เป็นไปไม่ได้ หมอพูดผิดแล้ว ดูใหม่ ดูฟิล์มเอ็กเรย์ใหม่ หมอเคยบอกเองว่ามันเล็กลงแล้ว TOCE ก็ได้ผล แล้วทำไมจึงอยู่ได้อีกแค่ 6 เดือน เป็นไปไม่ได้ หมอก้มหน้าแล้วบอกว่ามันเล็กลงก็จริงแต่ตับที่แข็งมันแข็งมากขึ้น แล้วมะเร็งมันกระจายลามไปทั่วแล้ว พูดเสร็จแล้วหมอก็ขอตัว  ทิ้งพวกเราไว้ 2 คน ตามลำพัง ได้แต่นั่งมองหน้ากันกุมมือกันสัมผัสได้ถึงมือที่เย็นเฉียบ น้ำตาที่ไม่เคยรู้จักมานานกลับมาคลอคั่งอยู่ข้างในตา ตระหนักรู้ถึงคำว่าธรรมชาติของมนุษย์ที่สร้างให้มีปฏิกิริยาต่อความเจ็บปวดที่ซับซ้อน หัวใจเต้นระรัวเหมือนกลองศึกดังจนกลัวว่าจะได้ยินถึงข้างนอก อ้าปากพูดพร้อมๆ กันว่า “มันเร็วไป” พี่อ้อยพี่สาวคนรองพูดต่อว่า “ใช่มวลมันเร็วไป เร็วไปมาก จะคิดอ่านกันต่อไปอย่างไรดี ใครจะเป็นหลัก พี่ พ่อ หรือเรา“ คนหนึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ อีกคนหนึ่งเป็นนักปกครอง เป็นนักกฎหมาย ทำได้เพียงเอาหัวมาชนกัน ช่วยกันคิดแล้วก็คิด คิดภายใต้พื้นฐานประสบการณ์เท่าที่มี  ทำไมไม่ถามเราเรื่องกรณีพิพาทแพ่ง อาญา ทำไมไม่ถามเราเรื่องการเงิน การบัญชี โจทย์ออกมาแบบนี้ แล้วจะเอาอะไรไปสู้ จะเอาอะไรไปตอบ แต่เมื่อไม่มีทางเลือกหนทางเดียวก็คือหันหน้าสู้กับมัน จึงกลับมาค้นคว้าข้อมูลอีกครั้งเริ่มรู้จักกับคำว่ามะเร็งมากขึ้น  ท่านผู้อ่านทุกท่านครับแม่ไม่เคยดื่มเหล้าสักหยดแต่แม่กลับเป็นตับแข็ง แม่ไม่เคยกินถั่วขึ้นเชื้อรา หรืออาหารปิ้งย่างรมควัน แต่แม่เป็นมะเร็งที่ตับ มันมาได้ยังไร หมอเองก็ตอบไม่ได้

           เราได้แต่เฝ้าดูแลปรนนิบัติแม่ ที่ไหนว่ามียาดีเราไปมาหมด ไปโรงพยาบาลยื่นความประสงค์ขอรับบริจาคตับ ขอความรู้หมอเรื่องเซลล์ตับงอกใหม่ได้ถ้าตัดตับ แม่ทำได้หรือไม่ ปลูกถ่ายอวัยวะได้หรือไม่ บางโอกาสเดินไปพบผู้คนนอนอยู่ข้างถนน เมามายระเกะระกะก็ได้แต่สังเวชและเสียดายตับ เสียดายเวลาของพากเขาเหล่านั่น เราดูแลแม่อย่างดีที่สุด เมื่อแม่กลับมาบ้าน เราช่วยอาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดปัสสาวะ เช็ดอุจจาระ เพื่อนๆ โทรมาชวนไปเลี้ยงรุ่น เราปฏิเสธเพื่อนถามเหตุผล เราบอกว่ากำลังทำความสะอาดก้นให้แม่อยู่ไปไม่ได้ เพื่อนถามทำได้ยังไง เราก็งง จึงถามกลับไปว่า ทำไมทำไม่ได้ เราก็เกิดมาจากแม่เกิดตรงนี้ แม่ทำให้เรา  ทำไมเราจึงทำให้แม่ไม่ได้ เพื่อนบอกว่าเป็นหน้าที่ของพยาบาล เราบอกว่าไม่ทำตอนนี้แล้วจะทำตอนไหน เราเชื่อว่าแม่ก็อยากให้เราทำให้มากกว่าพยาบาลเป็นแน่

            ด้วยการปฏิบัติที่เต็มที่ ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็งของแม่ เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี เราแอบนึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่าปาฏิหาริย์มีจริงไหน เพราะหมอบอกว่า 6 เดือน เราสัพยอกพี่สาวคนรองว่าแม่จะต้องหาย เห็นมั๊ยว่าแม่เริ่มปวดท้องน้อยลงแล้ว เรายังจำได้เมื่อเข้าไปหาแม่ตอนแต่งชุดครุยรับปริญญากฎหมายเข้าไปให้แม่กอด เราจะเรียนต่อเนติบัณฑิต เราจะสอบอัยการผู้พิพากษาให้แม่ได้เห็นความสำเร็จของลูก เราสัญญากับแม่ว่าแม่ต้องหาย เมื่อแม่เดินได้ถนัดแม่ชอบไปทำบุญเราจะพาไปเที่ยวตลาดน้ำวัดดอนหวาย ไปทำบุญด้วย ไปทั้งหมดเลยรวมพี่ น้อง ลูก หลาน แม่ก็รับคำสัญญาเราด้วยรอยยิ้ม แล้วก็หลับไป

        เรื่องราวต่างๆ  ดูเหมือนกับจะมีแต่ความดีงามเกิดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเดือนตุลาคมปี 2549 ความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ แม่ปวดท้องอย่างหนักจนต้องนำส่งโรงพยาบาล ครั้งนี้หนักกว่าทุกครั้งแม่ต้องอยู่ในห้องไอซียู แล้วในที่สุดแม่ทรมานอยู่ 3 วัน พวกเราก็เสียแม่ไป วินาทีนั้นหัวใจของเราเหมือนจะแตกสลาย ความรู้สึกเสียใจที่มากมายขนาดนี้มันมีอยู่ในโลกนี้จริงหรือ เสียงร้องไห้ดังลั่นอย่างไม่อายใคร ไม่เฉพาะชั้นไอซียู แต่มันดังกึกก้องไปทั่วทั้งโรงพยาบาล ร้องไห้อยู่นานจนไม่มีน้ำตาจะไหล จนหลับตาแล้วคิดว่าหากเราตายไปด้วยก็คงจะดี  สติที่ฉุดรั้งเอาไว้เป็นเพียงเส้นรับผิดชอบเล็กๆ บางๆ ก็คือลูกๆ พ่อ และพี่สาว ใช่ ! เราต้องเข้มแข็งสิ  ขาดเราไปอีกคนแล้วอีกหลายคนจะเป็นอย่างไร  เรายังคงมีต้นทุนอยู่ ต้นทุนชีวิตที่เราต้องเป็นหลัก ครั้งนี้เสียแม่แต่เรายังมีพ่อที่อยู่ในตัวเราอีกครึ่งหนึ่งมิใช่หรือ แต่ความเสียใจยังคงโถมทับอีกทวีคูณ เมื่อนึกภาพความดีของแม่ รอยยิ้มของแม่ มันเป็นภาพที่ลูกๆ และทุกคนที่คุ้นเคย ฉายชัดกรอกลับเหมือนหนังกลับมาฉายซ้ำ เทปที่ย้อนกลับจำจดในทุกถ้อยคำที่แม่สอน เหมือนเหตุการณ์เพิ่งจะเกิดขึ้นตรงหน้าเดี่ยวนี้  เห็นแม่เหมือนคนนอนหลับ เราพยายามเรียกแม่ปลุกให้แม่ตื่นขึ้นมาบอกลาลูกสักนิด มาบอกว่าแม่จะไปอยู่ไหนเราจะได้ตามไป แม่ไม่บอกเราสักคำ แม่ผิดสัญญากับเรา สัญญาว่าจะอยู่รอเราสอบเป็นผู้พิพากษา แต่แม่ก็ไม่อยู่แล้วเราจะกลับบ้านไปบอกพ่ออย่างไร  เริ่มต้นอย่างไร  ความคิดมืดมิดไปหมด ลืมตาขึ้นมองฟ้า  ท้าทายยมฑูต  กู้ก้องร้องตะโกนว่า อ้าย...มะเร็ง แกมันไม่ยุติธรรม แกมีสิทธิอะไรมาพรากแม่พรากลูกแบบนี้
 
          ความโหดร้ายของมะเร็งไม่ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น หลังจากที่เพิ่งเสียแม่ไปไม่ถึงปี พี่สาวที่เปรียบเสมือนแม่คนที่ 2 กลับมาป่วยทั้งๆ ที่ดูแลสุขภาพอย่างดี เรื่องราวเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ทันทีที่หมอบอกว่า “พี่สาวคุณเป็นมะเร็งเต้านม” อะไรกันนี่ มันไม่ให้เราพักเลยหรือ ไหนบอกว่าเราเป็นคนดี รักครอบครัวสั่งสอนลูกให้เป็นสมาชิกที่มีคุณภาพ ตอบแทนต่อสังคม กตัญญูบุพการี ดูแลพ่อแม่ มีเมตตาต่อผู้อื่น สอนหนังสือให้นักศึกษา ทำแต่ความดี นี่หรือคือผลตอบแทน แทนคำขอบคุณเราด้วยวิธีนี้หรือ หรือว่านี่เป็นบททดสอบว่าคุณจะแกร่งหรือเปล่า เราต้องตัดสินใจสู้อีกครั้งหนึ่ง  เพราะหากไม่สู้ต้องตายแน่นอน ถ้าสู้ก็อาจ 50 – 50 มีโอกาสรอดอยู่บ้าง เดิมพันครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เป็นการเดิมพันชีวิต แต่การต่อสู้กับมะเร็งไม่ใช่เกมส์ ไม่เหมือนเกมส์คอมพิวเตอร์ที่แพ้ก็เริ่มต้นเล่นใหม่ได้ แต่นี่เป็นเกมส์ชีวิตที่มีเงื่อนไข 2 อย่าง ถ้าชนะก็หายแต่ถ้าแพ้ก็ตาย 

        สุดท้ายเหมือน “สวรรค์มีตา” มีคนแนะนำให้รู้จักยาน้ำเทียนเซียน และได้รู้จักชื่อของ ศาสตราจารย์ หวัง เจิ้น กั๋ว ตลอดจนได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ทำให้เห็นทางสว่างอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เราจะสู้ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น เราต้องชนะ กำลังใจจากครอบครัว 2 ครอบครัว มาผนึกร่วมกันเป็นหนึ่ง “ผมจะไม่ปล่อยให้เจ๊สู่คนเดียว จะเป็นกำลังใจให้ โดยไม่พูดคำว่ากำลังใจอย่างเดียว แต่ผมจะทำให้เห็นเป็นรูปธรรม” สุดท้ายเราต้องเดินผ่านมันไปให้ได้ เริ่มจากการไปรับ–ส่ง ตามหมอนัดทุกครั้ง วิ่งไปจ่ายเงิน รับใบส่งยา ดูแลอาหารการกิน แบ่งเวลาดูแลหลานๆ ดูแลพ่อ ให้กำลังใจทุกคน ทำทุกอย่าง เข้าใจคำพูดที่ว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดมันเป็นอย่างไร

         หลังจากพี่สาวทานยาน้ำเทียนเซียน อาการของพี่สาวคนรองก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มสูดลมหายใจแห่งความหวังได้ยาวนานขึ้น อาการเปรียบเทียบได้จากก่อนหน้านั้น เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน อาการแพ้ดีขึ้นมาก ผิวพรรณดีขึ้น อาการเหนื่อยหอบหายไป อยากจะเขียนคำสักล้านคำเพื่อแทนคำขอบคุณ ศาสตราจารย์ หวัง เจิ้น กั๋ว และทีมงาน ถึงตรงนี้คิดเสียใจอยู่ว่า น่าจะรู้จักยาน้ำเทียนเซียน ก่อนหน้าสัก 1 ปี ก็คงจะไม่เสียแม่ไป

          จากประสบการณ์ครั้งนี้ เรารู้ได้ว่าโรคมะเร็งอยู่ใกล้ตัวเรามาก เพื่อนหลายคนเป็นที่ปอด เพื่อนหลายคนมีพ่อเป็นที่กระดูก และน้องเป็นที่สมอง หากความดีงามยังคงมีอยู่จริง เราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพแห่งความเอื้ออารี จะแนะนำให้คนที่ประสบโรคร้ายได้มีโอกาสพ้นทุกข์  พ้นทรมาน เพื่อหวังเป็นอานิสงค์ผลบุญส่งให้พี่สาวค่อยๆ หายจากโรคนี้ พวกเราทั้งหมดเดินมาไกลเกินกว่าที่จะเหลียวหลังกลับไปมอง หรือคิดที่จะถอยหลังกลับไปสักก้าวเดียว ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถ้าไม่สู้ อดทนสู้กับมัน ให้กำลังใจกันและกันดังคำสอนของแม่ที่ว่า “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน” สู้มันนะเจ๊......

 

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
ตรวจวินิจฉัยมะเร็ง

ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011

Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้