วันที่ 14-08-2015 | อ่าน : 4414
ขอบใจที่เป็นมะเร็ง
(มะเร็งกระเพาะอาหาร)
โดย เพ็ญสวัสดิ์ วงศ์พาณิชย์
มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่กำลังคุกคามชีวิตคนไทย โดยเฉพาะในยุคที่อาหารการกินรายล้อมไปด้วยสารเคมี หรือสารที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ในระยะยาว ชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินบนเส้นทางของความสำเร็จ ทั้งหน้าที่การงาน สังคม และชีวิตส่วนตัว ที่สำคัญไม่เคยมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน แต่วันหนึ่งรู้ตัวว่าเป็นโรคร้าย “มะเร็งกระเพาะอาหาร” นอกจากไม่ได้ตกใจเหมือนคนอื่นๆ แล้ว ยังขอบคุณมะเร็งอีกต่างหาก
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นคนโชคร้าย เนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็ง และปัจจุบันหลายคนก็คงเฝ้ามองดูชีวิตของฉันด้วยความรู้สึกว่าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เพราะคนส่วนมากที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเมื่อรู้ตัวแล้วมักจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่สำหรับดิฉันกลับไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลย
ดิฉันจำได้ดีถึงเหตุการณ์ครั้งแรกที่บอกเหตุร้ายก่อนที่จะรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง ประมาณ 1 เดือนก่อนหน้านั้น ดิฉันมีอาการเหนื่อยง่าย มีอาการแสบที่ลิ้นปี่เล็กน้อย ไม่เคยปวดท้อง ไม่มีอาการของโรคกระเพาะอาหาร แต่สิ่งหนึ่งที่แสดงอาการชัดเจน คือ ถ่ายอุจจาระออกมาเป็นสีดำ ประมาณ 1 สัปดาห์ และวันแรกที่บอกเหตุร้าย คือ ดิฉันเกิดอาการวูบเหมือนจะเป็นลมอย่างกระทันหัน เนื่องจากมีเลือดออกในกระเพาะอาหารเป็นจำนวนมาก แพทย์ได้ส่องกล้องพบว่ากระเพาะอาหารเป็นแผล เมื่อตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์จึงรู้ว่าเป็น มะเร็งกระเพาะอาหาร !
ครั้งแรกที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็งดิฉันตกใจพอสมควร ท่านอาจจะไม่เชื่อว่าดิฉันใช้คำว่า “ตกใจพอสมควร” ได้อย่างไร? น่าจะเป็นคำว่า “ตกใจมาก” เหมือนคนส่วนใหญ่ที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง เพราะมันเหมือนกับประกาศิตของพญามัจจุราชโดยแท้ แต่สำหรับดิฉันสาบานได้ว่ามีความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าในช่วงระยะเวลาที่รอผลการพิสูจน์ชิ้นเนื้อนั้น ดิฉันได้เตรียมตัวล่วงหน้ามาโดยตลอด นั่งนึกทบทวนถึงอาการเจ็บป่วยของตัวเองว่าทำไมถึงเป็นไปได้ เพราะดิฉันไม่เคยเจ็บป่วยอย่างรุนแรงเป็นคนสุขภาพดีมาตลอด แล้วถามตนเองว่าถ้าผลการพิสูจน์พบว่าเป็นเนื้อร้ายดิฉันต้องทำอย่างไรบ้างกับตนเอง
สิ่งแรกที่ทำ คือ ทำใจให้สงบเพื่อรอคำตอบ พร้อมกันนี้ดิฉันก็พยายามศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งและประสบการณ์ของคนป่วยที่เป็นมะเร็งแล้วรักษาหายได้ ก็ได้คำตอบว่า โรคมะเร็งนั้นไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคใดๆ แต่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในร่างกายเรานี่เอง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์นั้นมีหลายประการ เช่น ความเครียด อาหาร ร่างกายขาดความสมดุล เป็นต้น และดิฉันได้บทสรุปส่วนตัวว่าความเครียดเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็ง และส่งเสริมให้เกิดการลุกลามของมะเร็งได้ ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ คนป่วยเป็นมะเร็งนั้น สามารถที่จะรักษาให้หายได้ก็มี ดังนั้น ดิฉันจึงบอกกับตัวเองว่า ถ้าดิฉันเป็นมะเร็งจริง ดิฉันเลือกที่จะเป็นคนป่วยมะเร็งที่รักษาหายได้
ประมาณ 2 สัปดาห์ต่อมา หลังจากที่แพทย์ได้พิสูจน์ชิ้นเนื้อแล้วก็บอกว่า ดิฉันเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารระยะที่ 2 เมื่อดิฉันตั้งใจเพื่อรับสภาพมาก่อนแล้ว จึงทำให้ดิฉันสงบ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ตกใจ ไม่วิตกเกินเหตุได้ ดิฉันไม่บอกเล่าเรื่องความเจ็บป่วยให้ใครทราบเลย ยกเว้นเพื่อนสนิท (ดิฉันเป็นโสด) เพื่อนร่วมงานและน้องชาย เพียง 3 คน เท่านั้น เนื่องจากกลัวความสับสนในอาการเจ็บป่วยและวิธีการรักษา ที่หลายๆ คนจะต้องสอบถามและให้คำแนะนำต่างๆ ดิฉันได้เลือกที่จะปรึกษาสอบถามวิธีการรักษากับแพทย์ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าวิธีการที่ดีที่สุด คือ การผ่าตัด ดิฉันตัดสินใจผ่าตัดโดยขอร้องให้แพทย์ประจำตัวเลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการผ่าตัดเป็นผู้ผ่าตัดให้ ซึ่งก็นับได้ว่าได้รับความกรุณาจากแพทย์ด้วยดี
การที่ดิฉันยอมรับสภาพความเจ็บป่วยของตนเองได้ ประกอบกับการมีความมั่นใจในการรักษาของแพทย์ ทำให้สภาพร่างกายหลังจากการผ่าตัดฟื้นตัวได้รวดเร็ว และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่รู้หลังจากการผ่าตัด คือ แพทย์บอกว่าได้ผ่าตัดเอากระเพาะอาหารของดิฉันออกไปหมด เพราะดิฉันเป็นมะเร็งชนิดรุนแรง และเซลล์ร้ายได้ลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองบริเวณหน้าท้องและเป็นระยะที่ 3 แล้ว ดังนั้น ดิฉันจึงกลายเป็นคนไร้กระเพาะอาหารในที่สุด
หลังจากพักฟื้นจากการผ่าตัดประมาณ 1 เดือนแล้ว แพทย์ก็ให้คีโมต่อ 6 ครั้งๆ ละ 5 วัน แต่ละครั้งห่างกัน 1 เดือน นับเป็นช่วงเวลาที่ดิฉันทรมานมากทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดิฉันโชคดีที่ผมไม่ร่วงผิวหนังไม่คล้ำเกรียม เล็บไม่ดำคล้ำ เพราะก่อนที่จะให้คีโมทุกครั้ง ดิฉันจะดื่มเหล่งเอี๊ยงครั้งละ 1 แก้ว ก่อนให้คีโมทุกครั้ง
เดือนที่ 5 ของการให้คีโมดิฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับยาสมุนไพรจีนชื่อ “น้ำยาเทียนเซียน” ว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคมะเร็ง และเกิดศรัทธาในผลการวิจัยของยา ดิฉันจึงสั่งซื้อมากินติดต่อกัน 3 เดือน ปรากฏว่าร่างกายดิฉันฟื้นฟูจากสภาพทรุดโทรม ที่เป็นผลข้างเคียงจากการให้คีโมได้เร็วขึ้น ไม่อ่อนเพลียมากนัก
หลังจากรักษาตามหลักการแพทย์เสร็จสิ้นไปแล้ว ดิฉันได้ยึดหลักในการรักษาตนเอง 2 แบบ คือ ทางกายใช้วิธีของการแพทย์ทางเลือกคือ รับประทานอาหารแบบกึ่งชีวจิต และแบบแมคโครไบโอติกส์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทางจิตวิญญาณโดยใช้การสร้างกำลังใจทางบวกให้กับตนเอง ทำสมาธิ ฝึกพลังจักรวาล ไม่เครียด พยายามปล่อยวาง ยึดธรรมะเป็นแนวปฏิบัติกายและใจ มีกำลังใจเข็มแข็ง ไม่วิตกกังวลกับโรคของตนเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันมีสุขภาพแข็งแรง ดิฉันและแพทย์ประจำตัวต่างก็พอใจกับผลการรักษา อย่างไรก็ตาม ดิฉันไม่ประมาทในชีวิตอีกแล้ว เพื่อรักษาร่างกายให้ปกติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ดิฉันดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเอาใจใส่ เน้นการรับประทานผักและผลไม้เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง
ขณะนี้ชีวิตของดิฉันได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตที่สุดในชีวิตไปแล้ว เท่าที่ทบทวนประสบการณ์ในการเจ็บป่วยครั้งนี้ของตนเอง ทำให้ค้นพบว่า กำลังใจที่เข้มแข็งเท่านั้นที่เป็นกำแพงขวางกั้นโรคภัยไข้เจ็บได้ อย่างไรก็ตาม การเป็นมะเร็งเป็นทั้งความโชคร้ายและโชคดีของดิฉัน เพราะถ้าไม่เป็นมะเร็งดิฉันคงไม่มีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการดูแลกายและใจของตนเอง และคงไม่ได้ดูแลตนเองอย่างดีเช่นนี้ ขอขอบคุณ “คุณมะเร็ง” แทนร่างกายและใจของตนเอง ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้กับทุก ๆ ท่านที่ประสบโรคร้ายเช่นดิฉัน
หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011
Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้