รำมวยอู่ฉินซี่ หนีไกลมะเร็ง

วันที่ 19-03-2015 | อ่าน : 5606


 
 
รำมวย “อู่ฉินซี่” หนีไกลมะเร็ง
 
     “อู่ฉินซี่” ถ้าแปลตามศัพท์ หมายถึง การละเล่นของสัตว์ 5 ชนิด เป็นการออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ คิดค้นโดยปรมาจารย์ฮว๋าโถว หมอจีนสมัยสามก๊ก ผู้คิดค้นการผ่าตัดเป็นคนแรกของโลก และค้นพบยาสลบจากสมุนไพรคนแรกของโลก 

     อู๋ฉินซี่ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยเลียนแบบท่าทางการเคลื่อนไหวของสัตว์ 5 ชนิด ได้แก่ กวาง นก ลิง เสือ หมี โดยปรมาจารย์ฮว๋าโถว ได้นำท่วงท่าของสัตว์ข้างต้นรวมเข้าด้วยกัน ประสานเข้ากับสรีระร่างกายของมนุษย์ เรียบเรียงเป็นการฝึกฝนมาชุดหนึ่ง ผ่านการสังเกต ทดสอบ ฝึกฝนของคนจำนวนมาก สรุปผลได้ว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ หากฝึกฝนเป็นประจำช่วยให้สุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานสูง อายุยืน
 
ท่าสัตว์ 5 ชนิด ของอู่ฉินซี่
 
1)  ท่ากวาง
     “กวาง” เป็นธาตุไม้ สีสัญลักษณ์ คือ สีเขียว ฝึกท่ากวางมีประโยชน์ต่ออวัยวะ ตับ ถุงน้ำดี ตา เส้นเอ็น ทั้งยังเหมาะกับผู้หญิงวัยทอง
 
2)  ท่านก
     “นก” เป็นธาตุไฟ สีสัญลักษณ์ คือ สีแดง ฝึกท่านกมีประโยชน์ต่ออวัยวะ หัวใจ ลำไส้เล็ก ลิ้น เส้นลมปราณ
 
3)  ท่าลิง
     “ลิง” เป็นธาตุดิน สีสัญลักษณ์ คือ สีเหลือง ฝึกท่าลิงมีประโยชน์ต่ออวัยวะ ม้าม กระเพาะอาหาร กล้ามเนื้อ ช่องปาก
 
 

4)  ท่าเสือ
     “เสือ” เป็นธาตุทอง สีสัญลักษณ์ คือ สีขาว ฝึกท่าลิงมีประโยชน์ต่ออวัยวะ ปอด ลำไส้ใหญ่ ผิวหนัง จมูก
 
5)  ท่าหมี
     “หมี” เป็นธาตุน้ำ สีสัญลักษณ์ คือ สีดำ ฝึกท่าหมีมีประโยชน์ต่ออวัยวะ ไต กระเพาะปัสสาวะ หู กระดูก
 

เคล็ดลับฝึกอู่ฉินซี่
     -  การฝึกควรทำแบบช้า เบา สบาย เพราะแม้ภายนอกผู้ฝึกดูเหมือนเชื่องช้า แต่ภายในร่างกายมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา 
     -  ระยะเวลาในการฝึกไม่เป็นต้องนาน แค่เพียงครั้งละ 5-10 นาที ก็ใช้ได้ แค่ให้ตัวผู้ฝึกรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ก็เพียงพอแล้ว ถ้าฝึกจนเหนื่อยเกินไปถือว่าไม่ถูกต้อง
     -  การฝึกชี่ที่ได้ผลครบถ้วน ต้องประกอบด้วย 3 อย่าง คือ ท่าทาง การหายใจ และความคิด อู่ฉินซี่ก็เช่นเดียวกัน ระหว่างที่ฝึกท่าสัตว์ใดๆ ก็ต้องคิดจินตนาการตัวเองเป็นสัตว์นั้นๆ อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกของการฝึกให้เน้นเรื่องท่าทางที่ถูกต้องก่อนเท่านั้น ยังไม่ต้องกังวลเรื่องการหายใจ
     -  ในกรณีที่ไม่สามารถฝึกอู่ฉินซี่ หรือไม่มีเวลา เมื่อมีปัญหากับอวัยวะใดๆ ให้คิดจินตนาการถึงสีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธาตุทั้ง 5 เช่น มีปัญหาเรื่องตับให้นึกถึงสีเขียว ป่าเขาที่เขียวขจี เป็นต้น หรือรับประทานผักผลไม้สีเขียว โดยสีที่เราคิดจินตนาการถึงควรเป็นสีที่แวววาวสดใส ไม่ทึบทึมหรือเป็นสีด้าน

ขจัดชี่ไม่ดี รักษามะเร็ง

     ตามหลักแพทย์จีนถือว่า “ชื่” มี 2 ประเภท คือ ชี่ที่ดี และชี่ที่ไม่ดี เราฝึกชี่เพื่อเก็บสิ่งที่ดี ขจัดสิ่งไม่ดีออก โรคใดๆ ก็ตามรวมถึงโรคมะเร็ง สาเหตุการเกิดมะเร็ง คือ การติดขัดของชี่ เลือดคั่งจับเป็นก้อน พิษร้อน การอุดตันของเสมหะ การขาดสมดุลของยิน-หยางในร่างกาย การรักษาโรคมะเร็งของแพทย์แผนจีนจึงเน้นรักษาสิ่งที่ดีไว้และขจัดของเสียที่เป็นพิษออกไป ปรับสมดุลของร่างกาย ผู้ป่วยไม่ควรคิดว่ามัน คือ โรค ก้อน หรือสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย แต่ให้คิดจินตนาการว่าโรคก็คือสีดำ สีเทา เราฝึกชี่เพื่อขจัดสีที่ไม่ดีนั้นออกไป 

     อย่างไรก็ตาม แม้ไม่เป็นโรคท่ารำมวยอู๋ฉินซี่ยังช่วยเรื่องการป้องกันโรค เพราะเมื่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ติดขัด ก็จะช่วยบรรเทาอาการจากโรคภัยไข้เจ็บและฟื้นฟูร่างกาย 

     ถ้าจะบอกว่าชี่ช่วยต้านมะเร็งได้ฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่แท้จริงแล้วการฝึกชี่เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยรักษามะเร็งอย่างได้ผล เพราะตามหลักแพทย์จีนนั้นเชื่อว่า โลกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือโลกภายในร่างกาย อีกส่วนคือโลกภายนอกร่างกาย 2 โลกนี้แม้ตั้งเผชิญหน้ากัน แต่กลับมีความเชื่อมโยงกันอยู่ โลกภายในร่างกายต้องสอดคล้องกับโลกภายนอก เราต้องสอดคล้องไปตามธรรมชาติ แม้การเกิดมะเร็งยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด 100% แต่สิ่งที่ทราบแน่นอน คือ ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งล้วนมีพฤติกรรมขัดกับธรรมชาติ ดังนั้น การรักษามะเร็งไม่ได้สำคัญอยู่ที่หมอเท่านั้น แต่สำคัญที่ตัวผู้ป่วยเอง ถ้าสามารถเปลี่ยนความเคยชินที่ไม่ดีของโลกภายในร่างกาย ให้สอดคล้องไปกับธรรมชาติของโลกภายนอก ย่อมชนะมะเร็งได้
 
 
ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.huachiewtcm.com/

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
ความรู้มะเร็ง
อาหารผู้ป่วยมะเร็ง

ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011

Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้