ยาตีกันในผู้ป่วยมะเร็ง

วันที่ 21-08-2014 | อ่าน : 8744



          การใช้ยารักษาโรคมะเร็งนั้น ขนาดของยาที่ใช้เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากขนาดยาที่เหมาะสมจะอยู่ในช่วงแคบๆ กล่าวคือ เมื่อใช้ในขนาดต่ำเกินไปจะไม่ให้ผลในการรักษา แต่เมื่อใช้ในขนาดสูงเกินไปกลับทำให้เกิดอาการข้างเคียงมากขึ้นและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงต้องมีวิธีการคำนวณขนาดยาโดยอ้างอิงตามพื้นที่ผิวร่างกายของผู้ป่วย (body surface area) มากกว่าใช้น้ำหนักตัว (body weight) เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับขนาดยาที่ใช้ได้เหมาะสมมากกว่า 
 
          สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระดับยาในเลือดของผู้ป่วยไม่เป็นไปตามที่ต้องการคือ การเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา (drug-drug interactions) หรือที่เข้าใจกันง่ายๆ ว่า “ยาตีกัน” ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยรับประทานหรือใช้ยาร่วมกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม แล้วทำให้ผลการรักษาจากยาตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งหมดดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วความหมายของอันตรกิริยาระหว่างยานั้นจะให้ความหมายไปในเชิงลบ คือ ไม่ได้ผลในการรักษาจากการใช้ยา หรือเกิดอาการข้างเคียงจากยาเพิ่มมากขึ้นก็ได้ 
          ดังนั้นนอกจากผู้ป่วยจะต้องได้รับยาต้านมะเร็งสม่ำเสมอและเคร่งครัดแล้ว ยังต้องระวังปัญหาการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาด้วยเช่นกัน เนื่องจากยาที่ใช้รักษาอาการที่เป็นร่วมนั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ยาต้านมะเร็งไม่ได้ผลหรือเกิดอาการข้างเคียงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ใช้ยาสำหรับรักษาอาการอื่นๆ เป็นระยะเวลานาน (เกิน 1 สัปดาห์) ดังตัวอย่างต่อไปนี้  
 
กลุ่มยา ตัวอย่างคู่ยาที่มีผลต่อการรักษา ผลกระทบที่เกิดขึ้น
ยาลดกรด
(antacids)

แร่ธาตุอลูมิเนียมและแมกนีเซียมในยาลดกรด กับ capecitabine ทำให้ระดับ capecitabine ในกระแสเลือดสูงขึ้น
 
อาจเกิดพิษจาก capecitabine ได้แก่ โลหิตจาง ติดเชื้อง่ายท้องเสีย เป็นต้น
ยาปฏิชีวนะ
(antibiotics)

ยากลุ่มเพนิซิลลิน (penicillins) เช่น penicillin G, penicillin V, ampicillin, amoxicillin, cloxacillin และ dicloxacillin กับ methotrexate ทำให้ระยะเวลาที่ methotrexate อยู่ในกระแสเลือดยาวนานขึ้น
 
 อาจเกิดพิษจาก methotrexate ได้แก่ พิษต่อตับ พิษต่อไต เลือดออกง่าย เห็นภาพเบลอ เป็นต้น
 
tetracycline, chloramphenicol หรือยาปฏิชีวนะที่สามารถฆ่าเชื้อได้หลายชนิดที่ไม่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย (non-absorbable broad spectrum antibiotics) กับ methotrexate ทำให้ระดับ methotrexate ในกระแสเลือดลดลง
 
ไม่ได้ผลการรักษาจาก methotrexate
ยาต้านการแข็งตัว
  ของเลือด
(anticoagulants
warfarin กับ capecitabine ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดมากกว่าผู้ป่วยที่ได้รับ warfarin เพียงอย่างเดียว
ยาต้านอาเจียน
(anti-emetics)

ondansetron กับ cisplatin หรือ cyclophosphamide ทำให้ระดับ cisplatin หรือ cyclophosphamide ในกระแสเลือดลดลง
 
ไม่ได้ผลการรักษาจาก cisplatin หรือ cyclophosphamide     

ยาฆ่าเชื้อรากลุ่มเอโซล
(azole antifungal agents)
 
ketoconazole หรือ itraconazole กับ irinotecan ทำให้ระยะเวลาที่ irinotecan อยู่ในกระแสเลือดยาวนานขึ้น อาจเกิดพิษจาก irinotecan ได้แก่ โลหิตจาง ติดเชื้อง่าย มีแผลแล้วเลือดหยุดไหลช้า พิษต่อตับ ปวดเมื่อย เป็นต้น

ยาต้าน HIV
กลุ่มยับยั้งโปรติเอส
(protease inhibitors)
 
delavirdine หรือ saquinavir กับ paclitaxel ทำให้ระยะเวลาที่ paclitaxel อยู่ในกระแสเลือดยาวนานขึ้น อาจเกิดพิษจาก paclitaxel ได้แก่ โลหิตจาง ติดเชื้อง่าย พิษต่อตับ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อย เป็นต้น

   ยาสเตียรอยด์
(corticosteroids)
 
สเตียรอยด์ กับ aldesleukin ทำให้ฤทธิ์การต้านมะเร็งของ aldesleukin ลดลง ไม่ได้ผลการรักษาจาก aldesleukin

   สมุนไพรบางชนิด
   (Herbal medicines)           

St. John's wort (นิยมใช้คลายกังวล) กับ imatinib หรือ irinotecan ทำให้ระดับ imatinib หรือ irinotecan ในกระแสเลือดลดลง
ไม่ได้ผลการรักษาจาก imatinib หรือ irinotecan
     
     ยาต้านการอักเสบ
    ที่ไม่ใช่สเตียรอย        ด์(NSAIDs)

ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ขัดขวางการขับออกของ methotrexate ที่ไต ทำให้ระยะเวลาที่ methotrexate อยู่ในกระแสเลือดยาวนานขึ้น
อาจเกิดพิษจาก methotrexate ได้แก่ พิษต่อตับ พิษต่อไต เลือดออกง่าย เห็นภาพเบลอ เป็นต้น

 ยากันชัก 
(anticonvulsants)

carbamazepine, phenobarbital หรือ phenytoin กับ irinotecan ทำให้ระดับ irinotecan ในกระแสเลือดลดลง


ไม่ได้ผลการรักษาจาก irinotecan
  
          ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างยาบางชนิดที่อาจเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาได้เท่านั้น การใช้ยาให้เกิดประสิทธิผล ในการรักษาและป้องกันอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ หรือเภสัชกร 

เอกสารอ้างอิง

  1. Scripture CD, Figg WD. Drug interactions in cancer therapy. Nat Rev Cancer 2006;6(7):546-58.
  2. Flockhart DA. Drug Interactions: Cytochrome P450 Drug Interaction Table. Indiana University School of Medicine (2007). 

    http://medicine.iupui.edu/clinpharm/ddis/table.aspx. Accessed 12/06/2013.
 ขอขอบคุณข้อมูลจาก... 
 
 
 
 
 
ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
 

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
ความรู้มะเร็ง

ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011

Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้