พิชิตมะเร็งแบบบูรณาการ
วันที่ 04-11-2013 | อ่าน : 10666
พิชิตมะเร็งแบบบูรณาการ
โดย รศ.พญ.สุพัตรา แสงรุจิ
แพทย์รังสีรักษาและเวชศาสตร์นิวเคลียร์
โรคมะเร็งเป็นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยในเด็กพบได้ร้อยละ 4-5 ของผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด เป็นได้ทั้งหญิงและชาย เป็นได้ทุกเชื้อชาติ ศาสนา เป็นได้ทุกชั้นวรรณะ และเป็นได้ทุกอวัยวะตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ยกเว้นขน ผม เล็บ
อาจเรียกได้ว่ามะเร็งเป็นโรคของผู้สูงอายุ เพราะส่วนใหญ่พบว่าผู้มีอายุเกิน 45 ปีขึ้นไป โอกาสเป็นโรคมะเร็งค่อนข้างสูง ทั้งนี้มะเร็งไม่ใช่เพิ่งจะมาเป็นตอนอายุมาก แต่ได้ก่อหวอดมานานแล้วเป็นเวลาสิบๆ ปี หรือ 20-30 ปี กว่าจะพบว่าเป็นมะเร็งได้ก็เมื่ออายุมากแล้ว
อัตราการเกิดโรคมะเร็งแตกต่างกันไปในแต่ล่ะประเทศ อาการของโรคมะเร็งแตกต่างกันไปตามตำแหน่งอวัยวะที่เกิด สำหรับประเทศไทยของเราโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา
สาเหตุของโรคมะเร็ง
จริงๆ แล้ว มะเร็งคือเซลล์ของเราแต่เป็นเซลล์นอกคอก เกิดจากเซลล์ในร่างกายของเรากลายพันธุ์ อาจมีความผิดปกติทางพันธุกรรมมาแต่กำเนิด อาจได้จากพ่อหรือแม่ เซลล์อาจกลายพันธุ์ทันที เกิดมาเดือนแรกก็พบว่าเป็นมะเร็งแล้ว หรือได้รับจากพันธุกรรมแล้ว แต่ต้องได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้ากระตุ้นภายนอกไปอีกสิบๆ ปี แล้วค่อยกลายเป็นมะเร็ง
สารก่อกลายพันธุ์เร้ากระตุ้นการเกิดมะเร็ง อาทิ สารเคมีในเหล้า บุหรี่ รังสียูวีบีจากแสงแดด สำหรับเชื้อโรค ได้แก่ เชื้อไวรัส เช่น ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี 10-15 ปี ก็กลายเป็นมะเร็งตับ, เฮชพีวีไวรัส ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก, เชื้อแบคทีเรีย Helicobactor Pylori ทำให้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร, พยาธิ Schistosomes อยู่ในกระเพาะปัสสาวะนานๆ จนระคายเคืองเกิดแผลในกระเพาะปัสสาวะ จนเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้, พยาธิใบไม้ตับทำให้เกิดมะเร็งตับ เป็นต้น
สารก่อกลายพันธุ์ข้างต้นนี้ อาจได้รับทางการหายใจ ทางปาก ทางผิวหนัง ทางสัมผัส โดยได้รับทางปากมากที่สุด
ขบวนการของการเกิดโรคมะเร็ง
เมื่อร่างกายรับสารก่อกลายพันธุ์ → ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ → ทำให้เกิดความผิดปกติในการสร้างเซลล์และการซ่อมแซมเซลล์ → ร่างกายสร้างเซลล์ผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด และซ่อมแซมไม่ได้ → เซลล์กลายพันธุ์ → กลายเป็นก้อนมะเร็ง
ทุกเวลาในช่วงชีวิตของเรา ร่างกายจะมียีนที่ทำหน้าสร้าง ทำหน้าที่สั่งหยุดสร้าง ทำหน้าที่ซ่อมแซม ยีนเหล่านี้ทำหน้าที่ตลอดเวลา แต่เมื่อสูญเสียการทำงานในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง การสร้าง การหยุดสร้าง รวมถึงการซ่อมแซ่มก็ผิดปกติ เซลล์ก็จะกลายพันธุ์เป็นเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง นานเข้าค่อยๆ กลายเป็นมะเร็ง พอก้อนโตขึ้นก็กระจายไกลออกไป ต้องหาที่อยู่ใหม่ เนื่องจากอาหารไม่พอใช้ในตำแหน่งเดิม
ความจริงแล้วกระบวนการเกิดมะเร็งต้องใช้เวลานับสิบๆ ปี ตัวควบคุมสำคัญที่จะทำให้กระบวนการนี้ไม่ประสบผล คือ ภูมิต้านทาน หากภูมิต้านทานร่างกายแข็งแรง ก็จะช่วยกำจัดเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งตัวแรกไป ถ้าสมมุติว่าเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งตัวแรกถูกกำจัดได้ ก็จะไม่มีเซลล์มะเร็ง ในทางกลับกัน ถ้าเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งไม่ถูกทำลายด้วยภูมิต้านทาน มันจะแบ่งตัวต่อไปเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก สิบหกเป็นสามสิบสอง โตขึ้นเรื่อยๆ อยู่เหนืออำนาจการควบคุมของร่างกาย
การแบ่งตัวและเกรดของเซลล์มะเร็ง
เราจะเห็นว่าเวลาอ่านผลชิ้นเนื้อจะมีการแบ่งเกรด โดยการแบ่งตัวครั้งแรกๆ เรียกเกรด 1 ซึ่งเกรดเริ่มต้นนี้ยังไม่กลายพันธุ์ ยังเชื่องอยู่ไม่ดุ แบ่งตัวช้า แต่หากเซลล์มะเร็งยังแบ่งตัวต่อไปเรื่อยๆ เป็นเกรด 2, 3, 4 เซลล์จะเริ่มกลายพันธุ์ผิดไปจากเซลล์แม่มาก เริ่มไม่เชื่อฟัง เริ่มดุ จนดุมากขึ้นเรื่อยๆ การแบ่งตัวก็ยิ่งเร็วขึ้น
บางครั้งหมอใช้คำว่า โลว์เกรด ไฮเกรด ซึ่งโลว์เกรด หมายถึง เกรด 1 กับ 2 ส่วนกลุ่มไฮเกรด คือ เกรด 3 ขึ้นไป กลุ่มหลังนี้อาจมีการกระจายของมะเร็งก่อนที่หมอจะตรวจพบเสียอีก บางกรณีหมอตรวจไม่พบก็ไม่ได้หมายความว่าเซลล์มะเร็งไม่มีการแบ่งตัวหรือกระจายไกล หรือบางครั้งในก้อนเดียวอาจพบมะเร็งหลายเกรดอยู่ด้วยกัน ทำให้การรักษายากขึ้น ถ้าเราพบมะเร็งตั้งแต่เกรด 1 มีโอกาสหายมาก แต่หากเกรดสูงๆ โอกาสหายย่อมลดลง เพราะเซลล์มะเร็งไม่อยู่กับที่ ไปไกลแล้ว หรือไปแอบแฝงอยู่ที่ต่างๆ อย่างไรก็ตาม แม้เป็นเกรดสูง แต่หากภูมิต้านทานของผู้ป่วยแข็งแรงพร้อม อาจทำให้เซลล์มะเร็งสงบ ไม่ทรมานจากอาการของโรค
การกระจายไกลของเซลล์มะเร็ง
การกระจายไกลของเซลล์มะเร็งเป็นไปในแนวสามมิติ เหมือนต้นไม้ที่ต้องงอกรากหยั่งลึก แล้วก็แผ่ขยายในแนวกว้าง ยาว และลึก มะเร็งดำรงชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยอาหารที่ผ่านมาตามหลอดเลือด ทั้งหลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง หลอดน้ำเหลืองและเส้นประสาท ทั้งสามหลอดกับอีกหนึ่งเส้นนี้จะไปด้วยกันเป็นมัด ไปทางเดียวกัน เมื่อมะเร็งเกิดตรงจุดใด มะเร็งจะเจาะทะลุผนังหลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง โดยเฉพาะหลอดน้ำเหลืองซึ่งมีผนังบางมากและไม่มีใยกล้ามเนื้อ จะเจาะทะลุง่ายสุด เซลล์มะเร็งจึงหลุดลอยไปในหลอดน้ำเหลืองได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ถ้าภูมิต้านทานในเลือดของเราดี เมื่อมีเซลล์มะเร็งหลุดลอยมา เซลล์ภูมิต้านทานของเราซึ่งคอยสอดส่องสิ่งผิดปกติอยู่แล้ว พอเจอเซลล์ที่มีลวดลายลักษณะรูปร่างต่างกัน เซลล์ภูมิต้านทานจะช่วยกำจัดออกไป แต่ที่เราเกิดเป็นมะเร็งขึ้นมา อาจเพราะบางทีเซลล์ภูมิต้านทานร่างกายก็กลัวเซลล์แปลกปลอม เนื่องจากไม่เคยเห็นเซลล์อะไรที่แบ่งตัวเร็วอย่างนี้ อาจกลัวขยาดจนไม่กล้าเข้าไปทำลาย เมื่อไม่ทำลายเซลล์มะเร็งก็ฝังตัวงอกรากหยั่งลึกได้
ดังกล่าวข้างต้น มะเร็งนั้นมีเกรด ยิ่งเกรดสูงขึ้นก็จะแบ่งตัวเร็วมากขึ้น เซลล์ลูกจะไม่เหมือนเซลล์แม่ เป็นพันธุ์ดุลุกลามเฉพาะที่แล้วก็กระจายไกลมากขึ้น ก้อนมะเร็งจะโตเร็ว ต้องรักษาอย่างเต็มที่ ทั้งวิธีการรักษาแผนหลัก 3 วิธี ได้แก่ ผ่าตัด ฉายรังสี เคมีบำบัด และวิธีที่ 4 ซึ่งจากประสบการณ์ของตัวอาจารย์เองที่รักษาผู้ป่วยมะเร็งมาเกือบ 40 ปีแล้ว รู้ดีว่ามะเร็งไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต้องรักษาอย่างเต็มที่ เพื่อให้คนไข้รอดชีวิต อยู่นานขึ้น
สัญญาณอันตราย 7 ประการ ของโรคมะเร็ง
(1) เป็นแผลเรื้อรังรักษาไม่หาย
(2) เป็นไฝ เป็นตุ่ม เป็นก้อน ผิดปกติ โตขึ้นเรื่อยๆ
(3) เสียงแหบ เจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก
(4) ไอเรื้อรัง มีเสมหะปนเลือด
(5) ตกเลือด ตกขาวผิดปกติ ปวดในช่องเชิงกราน
(6) ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่ออก
(7) อุจจาระมีมูกปนเลือด ท้องผูกสลับท้องเสีย
วิธีการรักษามะเร็ง
ปัจจุบันนี้การตรวจวินิจฉัยและรักษามะเร็งในประเทศไทย นำสมัย ทันยุค แต่มีราคาแพงเพราะส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ วิธีการรักษามีมาตั้งแต่โบราณกาลจนปัจจุบันนี้ก็ยังมีวิธีมาตรฐานเหมือนเดิม คือ ผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด ยกเว้นวิวัฒนาการที่ดีขึ้น เช่น การผ่าตัดก็อาจจะมีหุ่นยนต์เข้ามาช่วย มีกล้องส่องเพื่อให้ไม่ให้แผลผ่าตัดกว้าง
ส่วนรังสีรักษาก็ยังใช้รังสีแบบเดิม แต่มีการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องควบคุมลำรังสี พัฒนาอุปกรณ์ที่ทำให้สามารถจะฉายก้อนมะเร็งเล็กๆ ได้ กำบังรังสีได้โดยไม่เสียเวลามาก
ทางด้านเคมีบำบัดก็เจริญรุ่งเรือง แต่เนื่องจากมีผลข้างเคียงมาก ปัจจุบันยาเคมีบำบัดจึงหยุดคิดค้นเพิ่มแล้ว หันไปพัฒนายาที่มีผลข้างเคียงน้อย ซึ่งก็คือ ยามุ่งเป้า อย่างไรก็ตาม ยามุ่งเป้าจะใช้ได้ผลจะต้องมีเป้าให้มุ่ง ถ้าไม่มีก็ใช้ไม่ได้
ในการพิจารณาการรักษานั้น อาจจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน การเรียงลำดับการรักษาก็อาจแตกต่างกัน ก็ขึ้นอยู่กับ อายุผู้ป่วย สภาพร่างกาย อาจต้องมีความคิดเห็นร่วมกันระหว่างหมอ ผู้ป่วยและญาติ อาทิ เป็นมะเร็งขั้นเริ่มแรกแต่อายุมากถึง 90 แล้ว อาจเลือกให้ผู้ป่วยอยู่แบบสบายๆ ไม่ต้องรักษาอะไรก็ได้
หรือ พิจารณาโดยดูตำแหน่งก้อนมะเร็ง อาทิ มะเร็งก้อนเล็กแต่อยู่ในตำแหน่งที่ผ่าไม่ได้ ก็อาจต้องใช้รังสีรักษาแทน เป็นต้น บางกรณีก็ดูที่ระยะของโรค ระยะที่เป็นมากอาจผ่าตัดไม่ได้แล้ว ก็ให้ยาเคมีบำบัดก่อนแล้วค่อยผ่าตัดทีหลัง
หมอจะพิจารณาสภาวะของโรคและสภาพร่างกายผู้ป่วย แล้วกำหนดจุดประสงค์ในการรักษา ซึ่งมีทั้งรักษาเพื่อให้หายหากคนไข้อยู่ในสภาพที่จะหายได้ หรือในกรณีที่ไม่สามารถให้หายได้ ก็รักษาแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการ (Palliative care) ทำให้ผู้ป่วยอยู่กับโรคอย่างสงบ มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ผลการรักษามะเร็ง
แม้ว่า... การตรวจวินิจฉัยและวิธีรักษาจะมีการพัฒนาดีขึ้น ราคาค่ารักษาแพงขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้ 100 % หมอพบบ่อยว่า หลังรักษาจบผ่านไปไม่กี่เดือนผู้ป่วยก็กลับมาอีกเพราะโรคกลับมา
ผลการรักษามะเร็งนั้น ผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งไม่หาย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งหาย แต่ก็ไม่สามารถวางใจได้ เพราะบางครั้งก็เป็นการหายหลอกๆ ไม่ได้หายขาดทั้งหมด มะเร็งอาจกลับมาเป็นซ้ำในอีกไม่กี่ปี หรืออีกหลายปีข้างหน้า
ผลการรักษาเมื่อรวมทุกระยะโรค ในประเทศพัฒนาแล้ว มีอัตราหายประมาณร้อยละ 60 ประเทศกำลังพัฒนาอย่างเช่นประเทศไทย มีอัตราหายร้อยละ 50 ส่วนประเทศด้อยพัฒนาอัตราหายจากโรคยิ่งน้อยลงเหลือเพียงร้อยละ 40
เป้าหมายทำลายเซลล์มะเร็งของวิธีการรักษาต่างๆ
** จากภาพ จะเห็นว่า ยาเคมีบำบัด รังสี ยามุ่งเป้า และยาน้ำเทียนเซียน มีเป้าหมายการทำลายเซลล์มะเร็งที่แตกต่างกัน **
เจาะลึกการรักษามะเร็ง
การผ่าตัด จะต้องตัดเอาก้อนมะเร็งออกทั้งหมดหรือให้มากที่สุด โดยตัดห่างก้อนประมาณสองเซนติเมตร อาจตัดต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงออกทั้งหมด จุดประสงค์เพื่อหายขาด อย่างไรก็ตาม หากมีอณูมะเร็งหลุดออกจากจุดเดิมไปตามหลอดเลือดหรือหลอดน้ำเหลืองแล้ว เซลล์เหล่านั้นก็รอดพ้นจากการผ่าตัดไปได้ ดังนั้น จึงไม่สามารถรับรองได้ว่าหลังผ่าตัดโรคจะไม่กระจายไกล เนื่องจากมะเร็งอาจไปจากจุดเดิมก่อนหน้าการผ่าตัดแล้ว จากนั้นก็ไปแอบแฝงอยู่รอเวลาที่จะเจริญเติบโตเป็นมะเร็งที่ตำแหน่งใหม่ นี่อาจเป็นข้อด้อยของการผ่าตัด อีกอย่างคือ ในการผ่าตัดหมอสามารถตัดอวัยวะได้เพียงบางส่วนเท่านั้น อาทิ ผู้ป่วยเป็นมะเร็งสมองจะตัดเนื้อสมองออกไปมากไม่ได้ บางครั้งจึงผ่าตัดได้เพียงบางส่วน หรือเพียงแค่ตัดชิ้นเนื้อมาตรวจพิสูจน์ชนิดของมะเร็งเท่านั้น แล้วค่อยรักษาด้วยวิธีการอื่นต่อไป
รังสีรักษา ทำให้โครโมโซมของเซลล์ขาด โดยการยิงรังสีต้องยิงเป็นลำและยิงเป็นเวลานานหลายนาที เพื่อให้โครโมโซมขาดจนซ่อมไม่ได้ จากการวิจัยพบว่า รังสีจะทำให้เซลล์ตายที่ระยะก่อนจะแบ่งตัวมากที่สุด (ระยะ G2 และ M) เพราะมีโครโมโซมซึ่งเป็นเป้าของรังสีหนาแน่นมากที่สุดในระยะนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในวันหนึ่งผู้ป่วยจะถูกฉายรังสีแค่ประมาณ 5 นาที แล้วหยุดพักไป 23 ชม. 55 นาที จึงค่อยมาฉายรังสีอีกในวันถัดไป ช่วงเวลาที่หยุดพักดังกล่าว อาจทำให้เซลล์ที่หลงเหลืออยู่หลุดรอดออกไปและซ่อมแซมตัวเองใหม่ได้ นอกจากนี้ เซลล์ในระยะที่มีโครโมโซมน้อย อาทิ ช่วงที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง (ระยะ G0) ก็ตอบสนองต่อรังสีน้อยมาก
เคมีบำบัด จะทำลายเฉพาะเซลล์ที่เข้าสู่วงจรชีวิตของเซลล์ (ระยะ G1, S, G2, M) แต่เนื่องจากเคมีบำบัดออกฤทธิ์แบบไม่เฉพาะเจาะจง จึงทำลายทุกเซลล์ทั้งเซลล์มะเร็งรวมทั้งเซลล์ปกติด้วย นอกจากนี้ ในส่วนของเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง (ระยะ G0) จะตอบสนองต่อเคมีบำบัดน้อยมาก
ยามุ่งเป้า จะขัดขวางการรับส่งสัญญาณการแบ่งตัวของเซลล์บริเวณผนังเซลล์ เมื่อขัดขวางได้เซลล์จะถูกยับยั้งการแบ่งตัว ซึ่งกระบวนการนี้เกิดขึ้นในระยะที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง (ระยะ G0) เท่านั้น แต่ปัญหาสำคัญ คือ ยามุ่งเป้าจะได้ผลดีเฉพาะกับเซลล์ที่มีเป้าให้จับ ก่อนใช้ยาจึงต้องตรวจพิเศษก่อนว่ามีเป้าหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ใช้ยามุ่งเป้าไม่ได้ผล นอกจากนี้ ยามุ่งเป้าซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ทำมาตามชนิดของเซลล์ ยาตัวหนึ่งไม่สามารถใช้ได้กับทุกเซลล์มะเร็ง
ยาน้ำเทียนเซียน เป็นยาจีนได้รับอนุมัติให้เป็นยาต้านมะเร็งมากว่า 30 ปี ถูกนำออกสู่ตลาดและเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลกมากว่า 20 ปี เป็นการรักษาที่จะเสริมไปพร้อมกับการรักษาหลัก (ผ่าตัด เคมี ฉายรังสี) เนื่องจากการรักษาหลักที่มีมาเป็นร้อยปีผลการรักษายังไม่ได้ดีขึ้น แต่เมื่อให้การรักษาวิธีที่สี่ คือ ยาน้ำเทียนเซียน ทำให้คนไข้มีอาการดีขึ้นมาก อยู่กับโรคได้อย่างสงบหรือไม่ก็หายขาดได้ เนื่องจากยาตัวนี้จะไปทำลายเซลล์ที่หลงเหลือจากการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง (ระยะ G0) ซึ่งเหลือรอดจากการรักษาแผนหลักมากที่สุด
มีงานวิจัยแสดงถึงฤทธิ์ของยาในการทำลายผนังไมโตคอนเดรีย ทำให้เอนไซม์ที่อยู่ในไมโตคอนเดรียไหลออกมา เอ็นไซน์นี้ทำให้เซลล์นั้นไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ กำหนดเวลาตายให้เซลล์มะเร็งในที่สุด
ล่าสุดเมื่อ 5 ปี ที่ผ่านมา นพ. ล่าย จี๋ หมิง และทีมวิจัยสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งชาติไต้หวัน ได้ศึกษาเปรียบเทียบยาเคมีบำบัด กับยาน้ำเทียนเซียนในความเข้มข้นต่างๆ กัน พบว่ามีผลต่อเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งและเซลล์มะเร็งรุ่นหลังๆ
อธิบายภาพ
กลุ่ม 1 เป็นกลุ่มควบคุม (control) ไม่ได้ให้ยาอะไรเลย กลุ่ม 2 ให้ยาด็อกโซรูบิซิน (Doxorubicin) กลุ่ม 3 ให้ยาซิสพลาติน (Cisplatin) กลุ่ม 4 ให้ยาแท็กซอล (Taxol) กลุ่ม 5 ให้ยาวีที16 (VT16) กลุ่ม 6 ให้ยาน้ำเทียนเซียน (THL) ในความเข้มข้น 0.5 มิลลิกรัม, 1 มิลลิกรัม และ 2 มิลลิกรัม ตามลำดับ
เห็นชัดเจนว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ให้อะไรเลย เซลล์ต้นกำเนิดและเซลล์มะเร็งไม่มีการเปลี่ยนแปลงลดลงแต่อย่างใด ส่วนกลุ่ม 2,3,4,5 เซลล์มะเร็ง (แท่งสีขาว) ลดลงในอัตราที่ใกล้เคียงกัน แต่เซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง (แท่งสีดำ) ตายน้อยเหลืออยู่จำนวนมาก ส่วนยาน้ำเทียนเซียนในกลุ่ม 6 พบว่ายาจะทำลายเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง (แท่งสีดำ) มากกว่า
ล่าสุดมีทีมวิจัยของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ได้ทำการวิจัยในผู้ป่วยมะเร็งในระยะกระจายไกล โดยผู้ป่วยมีมะเร็งกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย ให้ผู้ป่วยรับประทานยาขวดละ 20 ซีซี 3 ขวดต่อวัน เป็นเวลา 24 สัปดาห์ หรือ 6 เดือน พบว่าคนไข้กลุ่มนี้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น อาการเหนื่อยอ่อนก็ลดลง ทำให้ผลข้างเคียงจากการรักษาอื่นๆ ที่ให้การรักษาร่วมด้วยน้อยลง ในขณะเดียวกัน ตัวยาเทียนเซียนไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ ก็คิดว่าเทียนเซียนจะมีบทบาทที่ดีในการใช้ร่วมรักษากับการแพทย์แผนปัจจุบันตามเหตุผลที่ได้อธิบายให้ฟังแล้ว
สรุป
จากข้อมูลการรักษาข้างต้น จะเห็นว่า ไม่มีการรักษาอย่างหนึ่งอย่างใดที่สมบูรณ์แบบ จึงใช้แค่วิธีเดียวไม่ได้ การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งให้ได้ผลสูงสุดแบบตัดรากถอนโคน จำเป็นต้องผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกัน เป็นการรักษาแบบบูรณาการ เพื่อลดจำนวนเซลล์มะเร็งที่เหลือหลังจากการรักษา ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งซ้ำที่เดิม ลดการกระจายไกลของโรคมะเร็ง ทั้งยังลดอัตราการเกิดมะเร็งชนิดใหม่
หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook
ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง