วันที่ 29-07-2013 | อ่าน : 38920
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับต้นๆ ของสตรีไทย มีอุบัติการณ์ปรับตามมาตรฐานอายุ (age standardized rate) เท่ากับ 19.5 ต่อประชากร 100,000 คนต่อปี เป็นโรคที่มีการดำเนินโรคช้าใช้เวลานาน มีการตรวจคัดกรองโรคที่ง่ายแพร่หลายและการรักษาได้ผลดี แต่ก็ยังมีสตรีไทยต้องเสียชีวิตจากมะเร็งชนิดนี้ทุกปี ด้วยอัตรา 10.8 ต่อประชากร 100,000 คนต่อปี เนื่องจากโรคไม่ได้ถูกตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกที่เซลล์เริ่มเปลี่ยนแปลง หรือระยะก่อนเป็นมะเร็ง เราควรให้ความสำคัญของ ภาวะก่อนมะเร็งปากมดลูก ในแง่ของการป้องกันการเกิด การค้นหาโรค การรักษารวมถึงการเฝ้าติดตามก่อนที่จะเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูก
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก
เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันว่า สาเหตุของภาวะก่อนมะเร็งปากมดลูกและพัฒนากลายเป็น มะเร็งปากมดลูก คือเชื้อไวรัส Human Papilloma Virus (HPV) เป็นเชื้อไวรัสชนิด double-stranded DNA ที่มีขนาดเส้นผ่าศนย์กลาง 55 นาโนเมตร ทนความแห้งแล้งได้ดี และสามารถเกาะติดที่ผิวหนังโดยที่ไม่มีอาการ (asymptomatic ) และทำให้เกิดพยาธิสภาพได้บริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามความสามารถในการก่อมะเร็ง ( carcinogenic potential ) ได้แก่
1. กลุ่มความเสี่ยงต่ำ ( low risk HPV ) คือเชื้อไวรัส HPV ที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ บริเวณอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกและ ภายใน หรือ ทำให้เกิดภาวะก่อนมะเร็งชนิด mild dysplasia หรือ low grade squamous intraepithelial lesion (LSIL) เชื้อไวรัสในกลุ่มนี้ได้แก่ สายพันธ์ 6,11, 42-44, 53-55, 62 และ 70
2. กลุ่มความเสี่ยงสูง ( high risk HPV ) คือเชื้อไวรัส HPV ที่ทำให้เกิดพยาธิสภาพบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ภายนอก ภายใน และ ทวารหนัก ได้ตั้งแต่ ภาวะก่อนมะเร็งชนิด mild dysplasia (LSIL) จนถึงภาวะก่อนมะเร็งชนิด moderate dysplasia, severe dysplasia และ carcinoma in situ หรือรวมเรียกว่า high grade squamous intraepithelial lesion ( HSIL) และมะเร็งระยะลุกลาม ( invasive cancer)
การค้นหาไวรัส HPV ทำได้โดยการตรวจแป๊บสเมียร์ (Pap smear test)
เริ่มต้นตรวจแป๊บสเมียร์เมื่อใด ภายหลังมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด (vaginal intercourse) 3 ปี หรืออายุ 21 ปี
ตรวจแป๊บสเมียร์มีกี่แบบ
- แป๊ปเสมียร์ (Conventional Pap Smear) เป็นการตรวจหามะเร็งปากมดลูกแบบเดิม แพทย์ผู้ตรวจจะใช้อุปกรณ์ทำจากแผ่นไม้บางๆ ที่ปราศจากเชื้อ ขูดเยื่อบุผิวบนปากมดลูกและเก็บสารน้ำในช่องคลอดแล้วป้ายลงบนแผ่นสไลด์แก้ว ส่งไปย้อมสีและส่องชันสูตรด้วยกล้องจุลทรรศน์ มีข้อเสียคือ หากผู้รับการตรวจมีการอักเสบภายใน มีมูกขาวมาก มีเลือดออก อาจทำให้เชื้อถูกบดบังและตรวจไม่พบได้
- ตินเพร็พ (ThinPrep) เป็นวิธีการตรวจหามะเร็งปากมดลูกแบบใหม่ แพทย์ผู้ตรวจจะใช้อุปกรณ์เฉพาะเก็บตัวอย่าง ป้ายเยื่อบุผิวจากบริเวณปากมดลูกเช่นเดิม แต่นำเซลล์ตัวอย่างที่เก็บมาได้ แช่ในขวดน้ำยาเพื่อรักษาเซลล์ แล้วนำเข้าเครื่องอัตโนมัติในการเตรียมเซลล์บนสไลด์แก้ว มีการกำจัดสิ่งปนเปื้อนของมูก เซลล์เม็ดเลือด หรือลดการซ้อนทับกันของเซลล์ที่หนาแน่นเกินไป ทำให้เพิ่มโอกาสในการตรวจพบความผิดปกติได้ดียิ่งขึ้น
- Liquid based เป็นวิธีการตรวจหามะเร็งปากมดลูกแบบใหม่ วิธีการเก็บตัวอย่างและส่งตรวจตามมาตรฐานและวิธีเดียวกับ TrinPrep
ความถี่ในการตรวจ
- ตรวจทุกปี กรณี conventional Pap smear ปกติ
- ทุก 2 ปี กรณี liquid-based Pap smear (Thin Prep หรือ Liqui Pap) ปกติ
- ทุก 3 ปี กรณี liquid-based Pap smear ปกติและการตรวจหา high-risk HPV ให้ผลลบ
- หลังอายุ 30 ปี ถ้าผลตรวจ Pap smear ปกติติดต่อกัน 3 ปี อาจตรวจทุก 2-3 ปีก็ได้ กรณีที่ความเสี่ยงต่ำ
กรณีที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เป็นผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ได้ฮอร์โมน DES ขณะตั้งครรภ์ ได้รับยากดภูมิคุ้มกันภายหลังปลูกถ่ายอวัยวะ ได้เคมีบําบัด หรือ ได้รับยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลายาวนาน แนะนำให้ตรวจทุกปี
หยุดตรวจ Pap smear เมื่อใด
- อายุมากกว่า 70 ปี
- ผลตรวจ Pap smear ปกติติดต่อกัน 3 ปี ในช่วง 10 ปีสุดท้าย
- ไม่พบผลตรวจ Pap smear ผิดปกติ ในช่วง 10 ปี สุดท้าย
- มีความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก เช่น ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV
การตรวจ Pap smear ภายหลังตัดมดลูก
- กรณีที่ยังเหลือปากมดลูก (subtotal hysterectomy) แนะนำตรวจต่อไป
- การตัดมดลูกเนื่องจากมะเร็งทางนรีเวช (gynecologic cancer)
- การตัดมดลูกเนื่องจาก CIN 2 หรือ CIN 3
- กรณีที่มดลูกที่ตัด ไม่มีประวัติชัดเจนว่า มีภาวะ CIN 2 หรือ CIN 3 หรือไม่
การแปลผลที่มีใช้ในปัจจุบัน
นับแต่ Dr.George Papanicolaou เริ่มมีการใช้ Pap smear มาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก พบว่าลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกชนิดลุกลาม และลดอัตราเสียชีวิตจากโรคนี้ได้ลดลงมาก การแปลผลของแป๊บสเมียร์ แบ่งเป็น 5 คลาส (class) ดังนี้
คลาส 1 (Class I) ผลเป็นลบ : เซลล์ปกติ
คลาส 2 (Class II) ผลเป็นลบ : ไม่มีสัญญาณของความรุนแรง แต่มีบางเซลล์ผิดปกติ
คลาส 3 (Class III) ผลน่าสงสัย : ประกอบด้วยเซลล์ที่ผิดปกติ แต่ยังไม่วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง
คลาส 4 (Class IV) ผลเป็นบวก : แยกแยะเซลล์ที่ผิดปกติได้
คลาส 5 (Class V) ผลเป็นบวก : มีเซลล์ที่ผิดปกติจำนวนมาก หรือเป็นกลุ่มของเซลล์ผิดปกติ
โดยถือว่าถ้าผลแป๊บสเมียร์ ตั้งแต่คลาส 3 (class III) ขึ้นไป ถือว่าผิดปกติจากการคัดกรอง ถ้าเป็นคลาส 2 (class II) ผู้ป่วยจะได้รับการนัดติดตามด้วยการทําแป๊บสเมียร์ อีก 6 เดือนโดยประมาณ และถ้าแปรผลว่าเป็นคลาส 3 (class III) ผู้ป่วยจะได้รับการนัดตรวจด้วย กล้องส่องปากมดลูก (colposcopic examination)
หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011
Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้