เพิ่มภูมิคุ้มกันต้านมะเร็ง

วันที่ 13-03-2013 | อ่าน : 19339


 
 เพิ่มภูมิคุ้มกันต้านมะเร็ง


 
 
ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างไร
 
     ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่เสมือนกองทัพที่ปกป้องร่างกาย ส่วนใหญ่อยู่ในระบบทางเดินน้ำเหลืองและกระแสเลือด  ระบบทางเดินน้ำเหลืองประกอบด้วยโครงข่ายของท่อน้ำเหลืองซึ่งลำเลียงของเหลวจากช่องว่างระหว่างเซลล์กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต นอกจากนี้ ยังมีต่อมน้ำเหลือง ม้าม และต่อมไทมัส ซึ่งต่างก็ผลิตลิมโฟไซต์อันเป็นเซลล์ที่คอยตรวจจับ ทำลาย และกำจัดสารแปลกปลอม จุลินทรีย์ และเซลล์มะเร็งทั้งหลาย
 
     ลิมโฟไซต์มี 2 ชนิด ได้แก่ บีเซลล์และทีเซลล์ บีเซลล์ซึ่งถูกผลิตโดยม้ามจะขับสารต้านเชื้อแปลกปลอม ขณะที่ทีเซลล์ซึ่งถูกผลิตในต่อมไทมัสสามารถทำลายสิ่งแปลกปลอมได้โดยตรง ในร่างกายยังมีเซลล์พิฆาตตามธรรมชาติ (เอ็นเคเซลล์) ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้และกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยเฉพาะเซลล์มะเร็งทันที
 
     เซลล์เม็ดเลือดขาวที่พบในเลือด ประกอบด้วย ฟาโกไซต์และลิมโฟไซต์ มีบทบาทสำคัญในการทำลายแบคทีเรียที่มารุกราน รวมทั้งกำจัดเนื้อเยื่อที่ตายและถูกทำลายลง ระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ต้องมีดุลยภาพสมบูรณ์ ดังนั้น แม้ว่าระบบภูมิคุ้มกันจะมีหน้าที่หลักในการทำลายสิ่งแปลกปลอม แต่ก็อาจจะยอมให้สารที่ร่างกายเราต้องการ เช่น อาหาร ผ่านเข้ามาได้ 
 
ศัตรูของระบบภูมิคุ้มกัน
อวัยวะและเซลล์ทั้งหลายของระบบภูมิคุ้มกันต้องการสารอาหารบางประเภทเพื่อช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล ตัวอย่างเช่น  อินเตอร์เฟียรอนอันเป็นสารต้านไวรัสและมะเร็งที่ถูกขับออกมาโดยเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ต้องการวิตามินซีสำหรับการผลิต ไลโซไซม์ซึ่งเป็นเอนไซม์ต้านแบคทีเรียที่พบในของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำตา เลือด ต้องการวิตามินเอ  ดังนั้น หากอาหารที่ไม่มีคุณภาพจะบั่นทอนระบบภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอโดยทันที 
 
        ศัตรูอื่นๆ ของระบบภูมิคุ้มกันได้แก่ ความเครียด การสูบบุหรี่ การบริโภค แอลกอฮอล์และคาเฟอีนมากเกินไป น้ำตาล ยา สารปรุงแต่อาหาร ยาฆ่าแมลง มลพิษ การขาดการออกกำลังกาย และการนอนหลับไม่เพียงพอ 
สัญญาณของภูมิคุ้มกันต่ำ
ระบบภูมิคุ้มกันที่ด้อยประสิทธิภาพจะส่งสัญญาณให้เห็นได้ในเวลาไม่นาน เป็นเรื่องปกติที่คนเราส่วนใหญ่จะเป็นหวัดกันปีละครั้งสองครั้ง แต่ภูมิคุ้มกันที่ถดถอยจะทำให้เราเปราะบางต่อเชื้อหวัดหรือเชื้อไข้ต่างๆ และอาจทำให้เราติดเชื้อได้บ่อยครั้ง สัญญาณอื่นๆ ของภูมิคุ้มกันที่ไร้ประสิทธิภาพได้แก่ ระบบการย่อยผิดปกติ ความอ่อนล้า อาการปวดตามข้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และผิวพรรณที่หมองคล้ำ
 
ระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่สมดุลยังอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ และอาหารเป็นพิษ เพราะเมื่อพบสารที่เป็นตัวกระตุ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าจู่โจมในทันที จากนั้นจะขับสารฮิสตามินและสารอื่นๆ เพื่อขับไล่สิ่งที่มันมองว่าเป็นผู้รุกราน จึงส่งผลให้เกิดอาการไม่พึงปรารถนาต่างๆ ได้
 
อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน
ในการรักษาเซลล์และอวัยวะสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงและอยู่ในภาวะสมดุล เราจำเป็นต้องรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง 

   - วิตามินซี : ระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดต้องอาศัยวิตามินซีในการทำงาน ดังนั้น ควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระชนิดนี้สูง ซึ่งผลไม้และผักส่วนใหญ่ก็มีวิตามินซีสูงอยู่แล้ว
   - วิตามินเอ :  เป็นสารต้านไวรัสที่ทรงพลัง และช่วบบำรุงต่อมไทมัส วิตามินเอพบได้ใน ตับ ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาที่มีไขมันดีสูง น้ำมันตับปลา รวมทั้งเบต้าแคโรทีนในพืชผักซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอได้ 
   - วิตามินบี :  สำคัญต่อการทำงานของฟาโกไซต์ (เซลล์เม็ดเลือดขาว)  พบใน ข้าวกล้อง ธัญพืช
   - วิตามินอี :  เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอานุภาพและช่วยกระตุ้นการผลิตแอนตีบอดี้ 
   - แคลเซียม :  ช่วยเซลล์ฟาโกไซต์ในการทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม พบในผลิตภัณฑ์จากนม 
   - ซีลีเนียม :  จำเป็นต่อการผลิตแอนตีบอดี้ 
   - ธาตุเหล็ก :  เสริมสร้างภูมิต้านทานโดยรวม
   - สังกะสี :  ช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของทีเซลล์ 
** แร่ธาตุส่วนใหญ่พบใน เมล็ดพืช ถั่วเปลือกแข็ง และผักเขียว

     นอกจากนี้ โปรตีนเป็นสิ่งจำเป็นต่อภูมิต้านทานที่เข้มแข็ง เนื่องจากร่างกายต้องใช้โปรตีนในการผลิตเซลล์ต่างๆ รวมทั้งแอนตีบอดี้ และเอนไซม์ของระบบภูมิคุ้มกัน โปรตีนประกอบด้วยกรดอะมิโนที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของภูมิคุ้มกัน ตัวอย่างเช่น กรดอะมิโนกลูตาไธโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสารล้างพิษที่สำคัญ ผู้คนส่วนใหญ่ขาดโปรตีน เราจึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงเป็นปริมาณมาก เช่น ถั่ว เมล็ดพืช เนื้อ และปลา
 
     สารอาหารที่สำคัญชนิดอื่นๆ ได้แก่ ใยอาหาร ที่พบได้ในเมล็ดข้าวต่างๆ ผลไม้ และผัก จำเป็นต่อระบบการย่อย ช่วยทำให้ลำไส้สะอาดป้องกันการสะสมของสารพิษ และช่วยป้องกันการแพร่พันธุ์ของแบคทีเรียที่อันตราย ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนมีความสำคัญเนื่องจากมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 สูง ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยรวม จึงควรรับประทานถั่ว เมล็ดพืช และปลาที่มีไขมันดีมาก
 
     ผักใบเขียว เช่น บล็อกโคลี่และกะกล่ำปลี มีสารคุณค่าพืชผักที่เรียกว่า กลูโคซิโนเลต ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่มีฤทธิ์สูง แตงโม เกรปฟรุตสีชมพู และมะเขือเทศ มีปริมาณไลโคพีนสูง ซึ่งเป็นสุดยอดสารอาหารต้านมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง ขณะที่ผลไม้จำพวกเบอรี่ เช่น สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ราสเบอรี่ มัลเบอรี่ มีสารต้านการอักเสบแอนโทไซยานิน และกรดเอลลาจิกที่สามารถช่วยลดการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง
 
ขั้นตอนอื่นในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
 
การออกกำลังกายมากขึ้นจะกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองในเซลล์ภูมิคุ้มกันทั้งร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยนำออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆ ไม่จำเป็นต้องไปฟิตเนส เพียงทำตัวกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ และเดินเร็ววันละครึ่งชั่วโมงก็พอ
 
การมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต และการมีสังคมที่ดีก็ไม่ควรมองข้าม งานวิจัยจำนวนมากพบว่า การหัวเราะ การมองโลกในแง่ดี และการพูดคุยเรื่องขำขันกับเพื่อน สามารถเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ 
 
การนอนหลับอย่างเพียงพอก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน การรับแสงแดดก็เป็นเคล็ดลับในการกระตุ้นอารมณ์และภูมิคุ้มกัน โยคะ ชี่กง และการนั่งสมาธิสามารถลดความเครียด และช่วยผ่อนคลาย จึงมีส่วนช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันเช่นกัน



รับข้อมูลเพิ่มเติมได้ฟรี คลิกที่นี่ หรือโทร 02-6640078

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
ความรู้มะเร็ง

ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011

Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้