วันที่ 21-05-2010 | อ่าน : 8206
รวมพลังเอาชนะมะเร็ง
(มะเร็งปากมดลูก)
โดย ประทุม วงศ์วันทนีย์
“เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2546 ฉันได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต ฉันเป็นมะเร็งมดลูก ลูกชายฉันที่ไปฟังผลตรวจชิ้นเนื้อด้วยกัน นั่งนิ่งงงพูดอะไรไม่ออก ส่วนฉันชาไปหมดทั้งตัว คนเรารวมคำว่ามะเร็งกับความตายมานานจนแยกไม่ออก เพราะคนเป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะตายเกือบทั้งหมด”
คุณประทุม วงษ์วันทนีย์ ข้าราชการของสถาบันราชภัฎแห่งหนึ่งย้อนอดีตในวันแรกที่รู้ตัวเองว่าเป็นโรคมะเร็ง ที่สำคัญเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงเป็นอันดับหนึ่งในปัจจุบัน นั่นคือ “มะเร็งปากมดลูก” ด้วยวัยใกล้เกษียณ ณ วันเวลานั้น ใครเลยจะรู้ว่าเธอสามารถเอาชนะมะเร็งร้ายได้
สำหรับฉันเมื่อรวบรวมสติได้ระดับหนึ่ง ก็ถามหมอที่โรงพยาบาลนครปฐมประโยคเดียวว่า ระยะที่เท่าไร หมอบอกว่ายังตอบไม่ได้ ต้องตรวจอีกหลายขั้นตอน และหมอจะส่งคุณไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ ที่มีเครื่องมือครบกว่านี้ ฉันเลือกโรงพยาบาลศิริราช ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นโรงพยาบาลเก่าแก่ที่สุดมีแพทย์เก่งที่สุด และเครื่องมือทันสมัยที่สุด แต่เนื่องจากมีคนพากันหลั่งไหลไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชกันมากมาย การตรวจแต่ละขั้นตอนของฉันจึงช้ามาก
จริง ๆ แลัวฉันเป็นคนดูแลตัวเองอยู่เสมอ ฉันตรวจภายในและตรวจมะเร็งเต้านมทุก 6 เดือน ที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เรา 10 คน ฉันหมายถึงเพื่อนอาจารย์ในวัยเดียวกันกับฉันรวมตัวกันนั่งรถตู้ไปตรวจอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด แต่คงจะเป็นกรรมเวรอะไรของฉันทำให้หมอไม่เห็นก้อนเนื้อร้าย ซึ่งใหญ่ถึง 4 เซนติเมตรกว่า ๆ นี้ไปได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนตรวจฉันก็บอกหมอว่ามีเลือดออกจาง ๆ อยู่ 2-3 เดือนแล้ว หมอก็บอกว่าปกติ ไม่มีอะไร จนกระทั่งมีเลือดออกมากเป็นวงใหญ่สีแดงสด ฉันจึงเปลี่ยนโรงพยาบาล มาตรวจชิ้นเนื้อที่โรงพยาบาลนครปฐม จึงทราบผลว่าเป็นมะเร็ง คราวนี้ฉันจะทำอย่างไรดี ตั้งสติ นี่เป็นคำที่ทุกคนที่เป็นโรคนี้ควรจะนึกถึง การร้องไห้ตีโพยตีพายและความกลัวตาย จะยิ่งทำให้ได้ตายสมใจเร็วขึ้น ฉันเคยอ่านหนังสือ และฟังเกี่ยวกับโรคนี้มาบ้างว่าบางคนเป็นระยะแรก ๆ แต่ความที่กลัวมากก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำให้โรคที่เป็นน้อยก็เป็นมากขึ้น เพราะร่างกายอ่อนแอลงทุกวันจนไม่มีพลังจะต่อสู้ แต่มีบางคนที่เป็นระยะสุดท้าย แต่มีสติ รวบรวมกำลังกายกำลังใจลุกขึ้นสู้ จนชนะโรคร้ายก็หลายต่อหลายรายก็สามารถหายได้ ตอนนั้นฉันยังไม่เคยรู้จักน้ำยาเทียนเซียน จึงคิดว่าการรักษามะเร็งก็มีเพียง 4 วิธี คือ ฉายแสง เคมีบำบัด ฝังแร่และผ่าตัด แต่ละวิธีนั้นทำลายระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทั้งเซลล์ดีหรือร้ายก็จะถูกทำลายทั้งหมด ฉันอายุ 56 ปี ร่างกายฉันจะทนทานรับการรักษาได้หรือไม่ยังเป็นปัญหา
แต่ที่แน่ ๆ คือ ฉันมีเพื่อนร่วมงานที่แสนดี เริ่มตั้งแต่ท่านอธิการบดี ที่โทรมาให้กำลังใจตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าผลตรวจชิ้นเนื้อ คือ มะเร็ง ท่านคณบดี ผู้ช่วยทำให้ฉันสบายใจอย่างยิ่งตลอดการรักษา รวมทั้งนำวิกผมมาให้เผื่อผมร่วง เพื่อนอาจารย์ผู้สละเวลาไปเป็นเพื่อนฉันเพื่อพบคุณหมอที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งแต่ละครั้งใช้เวลาเป็นวัน เหน็ดเหนื่อยพร้อมกับลูกฉันราวกับเป็นคนในครอบครัว เพื่อน ๆ ร่วมงาน รวมทั้งผู้บังคับบัญชาหลายท่านผู้มีจิตใจประเสริฐ คำพูดแต่ละคำ คำปลอบประโลม ให้สติ ให้ข้อคิด ที่แต่ละท่านฝากมา มีค่าเหมือนน้ำทิพย์ ชโลมจิตใจยามท้อแท้ อ่อนล้า หรือแม้แต่อาจารย์เก่าของดิฉัน ซึ่งเป็นผู้ที่ฉันจะปรึกษาท่านเล่าอาการให้ท่านฟังอยู่เสมอ และท่านยังหาอาหารดี ๆ มาให้ฉันแช่ตู้เย็นไว้รับประทาน ประธานโปรแกรมภาษาต่างประเทศ และอาจารย์ในโปรแกรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นรุ่นน้อง พอรู้ว่าฉันเป็นโรคร้ายก็มารับตารางสอนของฉันไปแบ่งกันสอน เพื่อให้ฉันพักรักษาตัวอย่างเต็มที่ และเพื่อน ๆ อีกหลายคนที่ฉันไม่สามารถกล่าวนามได้ทั้งหมด หลายคนโทรศัพท์มาให้กำลังใจ หาอาหารเสริมมาให้ทาน หาหนังสือธรรมะและหนังสือเกี่ยวกับมะเร็ง รวมทั้งเทปอาหารและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้อ่าน ให้ฟัง ฉันรู้สึกซาบซึ้งในไมตรีจิตเหล่านี้ยิ่งนัก นี่ถ้าฉันไม่ป่วย ฉันจะไม่รู้เลยว่า ฉันมีเพื่อนที่รักและเอื้ออาทรต่อฉันถึงเพียงนี้
ยิ่งคนในครอบครัว สามีฉัน ลูกชายฉัน 3 คน พี่สาว พี่เขย น้องชาย น้องสะใภ้ และหลาน ๆ พอรู้ข่าวก็ตกใจ และห่วงใยฉันมาก จนฉันผู้เป็นคนป่วยต้องบอกทุก ๆ คนว่าให้ทำทุกอย่างตามปกติ ฉันเองก็พยายามทำใจอย่างสุดความสามารถ ทั้งที่ ๆ ที่ทุกข์ ท้อ ทรมาน ทั้งกายทั้งใจ ก็ต้องไม่แสดงออกมาก ลูกฉัน 2 คนโต ขับรถไปทำงานทั้งคู่ ฉันกลัวว่าลูกจะเกิดอุบัติเหตุจากการคิดมาก นอนไม่หลับ เป็นแม่นั้นยากจริง ๆ ป่วยเพียงใดก็ต้องอดทน ถ้าแม่แสดงความอ่อนแอออกมา ลูก ๆ และสามีก็จะไม่เป็นอันทำการทำงาน ผลเสียก็จะเกิดตามมาอีกมากมาย อย่างไรก็ดี กำลังใจที่ได้รับจาก คุณถนอมศักดิ์ วงษ์วันทนีย์ สามีฉัน และลูกชาย 3 คน ศุภวัชร(โซ่) ปวัตต์(แบงค์) และศิรวัชร(ปังปอนด์) เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ทำให้ฉันมีกำลังใจลุกขึ้นมาสู้กับโรคร้ายนี้ ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกว่า การตายน่าจะทุกข์ทรมานน้อยกว่าการรักษา ก็ได้ทั้ง 4 คนนี้ ที่คอยอยู่เคียงข้างบอกฉันว่า แม่จะตายไม่ได้ แม่ต้องสู้ต้องเข้มแข็ง อดทน แต่คนที่เป็นมะเร็ง จะมีบางวันที่กระแสจิตตกต่ำเพราะร่างกายขาดอาหาร ยังดีที่ฉันมีพี่สาว พี่เขย คุณโสภณ-นิตยา ผู้มีฝีมือในการทำอาหารให้ฉันทานทุกวัน ตลอดการรักษาทั้งสองคนดูแลฉันราวกับว่าฉันเป็นลูกเล็ก ๆ ของเธอ ทั้ง ๆ ที่อายุเราห่างกันไม่กี่ปี ไม่ว่าฉันจะพูดถึงอาหารอะไรที่ฉันพอจะนึกได้ว่าคงจะพอทานลง วันรุ่งขึ้น ฉันก็ได้ทานอาหารนั้นทันที แม้จะทานได้อย่างละคำ สองคำ ก็ยังดีกว่าทานไม่ได้เลย ลูกฉัน 3 คน จะรับเหมาอาหารที่ป้านิด ลุงภณทำทุกวัน พร้อมกับพูดว่าอร่อยเหลือเกิน เพราะเป็นอาหารสด สะอาด ทำอย่างประณีต บรรจง ถ้าฉันไม่ได้อาหารเหล่านี้เข้าไปบ้าง ฉันอาจจะไม่มีชีวิตรอดมาได้ ลูกคนเล็กของฉันเป็นผู้ช่วยพ่อทำกิจการหมูแผ่นของครอบครัว เป็นคนเดียวที่พอจะลางานจากบอส (พ่อตัวเอง) มาดูแลแม่ได้ ลูกคนอื่นลาคนละ 2-3 ครั้ง ฉันก็บอกให้ทำงานไปตามปกติ เราพบกันตอนเย็นก็พอแล้ว ปังปอนด์อยู่กับแม่ 24 ชั่วโมง ป้านิดพี่สาว อยู่กับฉันวันละ 4-5 ชั่วโมงทุกวัน ที่ฉันไปโรงพยาบาล 2 คนจะนั่งเฝ้าหน้าห้องที่ฉันเดินเข้าไปรักษา จนพยาบาลและหมอพากันล้อว่า กลัวคนไข้จะหายตัวไปหรืออย่างไรจึงติดตามทุกฝีก้าว ปังปอนด์ต้องขับรถพาแม่ไปศิริราชทุกวัน บางวันที่หมอนัดฝังแร่หรือฉีดยาบำบัด ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ซึ่งปกติวิสัยเด็กวัยรุ่นไม่มีปัญญาจะตื่นได้ ฉันไม่มีวันลืมความดีของทุกคนที่กล่าวมาแล้วนี้ รวมทั้งเพื่อนรุ่นพี่อีกคนที่ขยันทำน้ำผัก น้ำผลไม้ปั่น ตลอดจนอาหารอื่น ๆ มาให้เกือบทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ฉันกลับมาบ้านนครปฐม ความทรงจำเหล่านี้เป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตที่อ่อนหวาน อ่อนโยน จนไม่สามารถพรรณนาเป็นตัวอักษร ได้ครบถ้วนตามที่ใจรู้สึก
โรงพยาบาลศิริราชไม่เชื่อผลห้องแลปของใคร จึงเอาชิ้นเนื้อฉันไปตรวจใหม่และต้องรออีก 2 สัปดาห์จึงจะทราบผล ระหว่างนี้ฉันไปวัด 3 ครั้ง เพื่อฝึกปฏิบัติธรรม ที่จริงฉันมีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว จึงไม่ยากที่จะไปฝึกต่อ จิตใจฉันสงบลงมาก ฉันยอมรับผลกรรม รู้ดีว่าเมื่อเกิดแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า จะตายตอนไหนเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้ เวลาที่เหลือน้อยนิดนี้ ควรสร้างความดี ทำจิตใจให้สงบ และหาวิธีทำดีที่สุดเพื่อรักษาตนเอง นั่นคือต้องรักษาทั้งกายและใจไปพร้อม ๆ กัน ต่อให้มีหมอเก่งและยาดีสักแค่ไหนรักษากาย แต่จิตใจเศร้าสลด หดหู่ คิดมาก ก็อย่างหวังผลการรักษาจะออกมาดี ถ้าทำสมาธิจิตนิ่งได้ ไม่ฟุ้งซ่าน ให้ป่วยแต่กาย แต่จิตไม่ป่วยตามไปด้วย นั่นช่วยได้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งจึงจะเป็นหน้าที่ของหมอ ยาและอาหาร
วันที่ 23 เมษายน 2546 ฉันก็ได้รับทราบซ้ำเป็นครั้งที่สองจากโรงพยาบาลศิริราชว่า ฉันเป็นมะเร็งมดลูกแน่นอน ในวันนั้นฉันได้รับการส่องกล้อง ดูว่ามะเร็งได้ลามไปที่กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่หรือยัง ปรากฏว่าฉันโชคดีที่มันยังอยู่แค่ที่ปากมดลูก หมอเขียนชนิดเนื้อร้ายของฉันว่า Ca Cx IIa นั่นคือฉันเป็นระยะที่ 2 ต้น ๆ ระยะที่ 1 จะจบลงที่ก้อนเนื้อ 3 เซนต์ แต่ของฉัน 4 เซนต์กว่า มีบางคน 6-8-11 ซึ่งนั่นก็จะยิ่งรักษายากขึ้นตามลำดับ ขนาด 4 เซนต์ ฉันก็ใจไม่ค่อยดีแล้ว รู้สึกว่ามันใหญ่มากเหลือเกิน ขั้นตอนต่อไป หมอนัดฉีดสี เป็นขบวนการยาวนานใช้เวลาค่อนวัน เพราะต้องรอให้สีเดินทางไปเรื่อย ๆ และฉาย X-ray เป็นระยะตามทางที่สีเดินไปว่ามันไปสะดุดที่อวัยวะใดบ้าง นั่นคือ จะดูการทำงานของ ตับ ไต ไส้ พุง จนลงไปถึงกระเพาะปัสสาวะ ฉันเหนื่อยเพราะต้องอดน้ำ อดอาหารยาวนาน เมื่อจบสิ้นขบวนการก็แทบเป็นลม แต่น้องแบงค์เหนื่อยมากที่สุด วันนี้วิ่งขึ้นวิ่งลงไปหลายตึก หลายที่ เพราะแม่ พ่อ และป้านิดพี่สาวฉันล้วนสูงอายุ เป็นเด็กอยู่คนเดียวน่าสงสารนัก ลูกฉันหน้าเสียมาตั้งแต่เช้าหลังรู้ข่าวชิ้นเนื้อ พอรู้ว่าแม่เป็นระยะที่ 2 และแถมมี a ห้อยท้าย ซึ่งแปลว่าเพิ่งผ่านระยะที่ 1 มานิดเดียว สีหน้าจึงค่อยดีขึ้น น้องแบงค์เป็นลูกคนเดียวที่ฉันจะจับความรู้สึกได้เร็วและไวกว่าคนอื่น เพราะเป็นคนปากกับใจและสีหน้าไปด้วยกันหมดในทุกกรณี ลูกคนโต(โซ่) และคนเล็ก(ปังปอนด์) จะพยายามปกปิดอารมณ์ ด้วยการคุยเล่น เย้าแหย่ให้แม่หัวเราะ แต่ฉันก็รู้ดีว่าลึก ๆ ลงไปในใจของลูกฉันคิดอย่างไร ฉันเลี้ยงทั้ง 3 คนมากับมือ ความรัก ความผูกพันระหว่างเรา ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายด้วยวาจา สามีและพี่สาวฉันไม่ค่อยได้พูดอะไรเลยในวันนี้ ฉันว่าคงตกใจมิใช่น้อย หน้าตาท่าทางที่ซีดเซียวของพี่สาวฉันทำให้หลายคนทักว่า เป็นคนไข้เสียเอง ไม่ใช่มาเป็นเพื่อน สามีฉันมีท่าทางผุดลุกผุดนั่งทั้งวัน นั่นไม่ใช่ปกติวิสัยของเขา ความกระวนกระวายทำให้คนนั่งไม่ติด ฉันเพิ่งจะเป็นภาพถนัดเต็มตาวันนี้เอง ฉันต้องร้องไห้ไม่ใช่สงสารตัวเอง แต่สงสารทุกคนที่อยู่ใกล้ตัวฉันขณะนี้ ทุกคนเป็นทุกข์ กังวล กระสับกระส่าย เหน็ดเหนื่อยมากับฉัน ตื่นตั้งแต่ตีห้า จนขณะนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล ขันติคือความอดทน อดกลั้นนั้น วันนี้ก็ได้ประจักษ์ชัดแล้วเช่นกัน กว่าจะส่งพี่สาวฉันและกลับถึงนครปฐมก็ทุ่มกว่า เมื่อสามีฉันถามฉันในห้องนอนคืนนั้นว่าเจ็บมากไหม ที่หมอตรวจทั้งวันนี้ ฉันส่ายหน้าแต่น้ำตาคลอ จริง ๆ ก็ไม่เจ็บมาก เพราะคุณหมอมือเบา และบอกทุกขั้นตอนว่าจะทำอะไร ให้คนไข้เตรียมใจทุกครั้ง แต่คนไข้ทุกคนที่อยู่บนขาหยั่งครั้งละนาน ๆ ถูกปิดตาไม่ให้มองเห็นเครื่องมือ (เพราะแต่ละชิ้นคงดูน่ากลัว) คงรู้สึกอย่างเดียวกันหมดคือตื่นเต้น คิดไปเองล่วงหน้าว่าต้องเจ็บ และกังวลกับชื่อโรคที่เป็นอยู่ กว่าจะผ่านวันนั้นไป หัวใจก็แสนจะเหนื่อยล้า ถ้าไม่มีสามี ลูกและพี่สาว พยุงขนาบซ้ายขวาคอยให้กำลังใจ ก็คงทรุดลงไปกองกับพื้นเสียหลายหนแล้ว คำถามสั้น ๆ ว่า เจ็บไหม จึงเรียกน้ำตาฉันได้ยาวนาน มันไหลต่อกันเป็นสายไม่หยุด สามีฉันพูดอีกประโยคที่ทำให้ฉันจดจำ จารึกไว้ในหัวใจตลอดมาว่า “ถ้าเจ็บแทนได้ก็จะเจ็บแทน ถ้าตายแทนได้ก็จะตายแทน เพราะแม่อยู่เป็นเพื่อนลูกได้ดีกว่าพ่อ” ฉันซาบซึ้งจนสะอื้นไม่หยุด วันนั้นเป็นวันที่เรายังคลุมเครือ ไม่รู้ชะตากรรม ไม่เข้าใจวิธีการ และขั้นตอนการรักษา คือรู้เหมือนคนทั่วไป ที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง ก็ต้องรักษา 4 วิธี แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าแต่ละอย่างนั้นให้ผลดีผลเสียแก่ร่างกายและจิตใจ แค่ไหน อย่างไร
คืนนั้นฉันสวดมนต์ยาวนานกว่าคืนไหน ๆ ในชีวิต ทำจิตให้ดิ่งสู่สมาธิได้ยากกว่าครั้งไหน ๆ เช่นกัน แต่เมื่อจิตนิ่ง รู้อาการเข้าออกของลมหายใจที่เข้าออกนี้ก็คือการ เกิด-ดับ-เกิด-ดับ ต่อเนื่องกันไปแห่งสังขารและสังขารนี้ก็เป็นกองทุกข์ เป็นที่รวมแห่งเลือด เนื้อ น้ำเหลือง น้ำหนอง อยู่แล้ว การที่จะเพิ่มก้อนเนื้อเน่า ๆ อีกก้อนในมดลูกก็เป็นธรรมดา การตายก็คือการละจากกองทุกข์หนึ่ง เพื่อเดินทางไปอยู่ในสังขารใหม่ กองทุกข์ใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนี้ ตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้น ทำไมไม่ใช้เวลาสั้น ๆ ที่เหลืออยู่บริหารจิต ยกระดับจิตให้บรรลุธรรม แม้เพียงนั้นพระโสดาบัน เพื่อจะเกิดอีกแค่ 7-8 ชาติ ก็จะก้าวล่วงพ้นวงเวียนกรรม ฉันตั้งจิตอธิษฐานทันทีทันใดว่าจะตั้งมั่น เดินทางสู่พระนิพพาน แม้จะรู้ว่าหนทางยังอีกยาวไกลนัก และบุญบารมีที่ฉันสะสมมาตั้งแต่อดีตชาติถึงปัจจุบันชาติจะช่วยส่งเสริมฉันมากแค่ไหนก็ไม่รู้ได้ คืนนั้นฉันหลับสนิท ไม่กลัวความตาย ตื่นเช้าด้วยความรู้สึกสดชื่น พร้อมที่จะบำเพ็ญภาวนาตามแรงอธิษฐาน เวลาน้อยนิดนี้อาจจะไม่ทันได้บรรลุธรรม ฉันจะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว ท่านทั้งหลายที่อ่านมาถึงตอนนี้โปรดตั้งตน อยู่ในความไม่ประมาท ท่านมีเวลาอีกมากมาย อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไป ๆ อย่างไร้ประโยชน์ พลังแห่งจิตนั้นยิ่งใหญ่ให้แต่คุณไม่เคยให้โทษแก่ใคร ผู้ฝึกจิตจนมีพลังสูงขึ้น ๆ จะทำการงานใดก็มีสติไม่ผิดพลาด มีชีวิตอยู่ก็เป็นสุข แม้ละสังขารแล้วก็จะเป็นบารมีติดตัวไปภพหน้า เป็นทุนรอนในการสร้างกุศลต่อได้โดยไม่ยาก ความจริงข้อความนี้ก็ดูเหมือนเรื่องธรรมดาที่เคยอ่านพบเจอบ่อย ๆ แต่ความซาบซึ้งในสัจจะธรรมจะไม่มีวันบังเกิดแก่ผู้ใด จนกว่าจะเจอทุกข์ด้วยตนเอง ในความโชคร้ายของมนุษย์ผู้มีทุกข์ ก็จะมีความโชคดีเกิดขึ้นด้วย นั่นคือตัวทุกข์นี้เองทำให้เราเกิด สติพิจารณาทุกข์ ได้เข้าใจลึกซึ้งกว่าแต่ก่อน ทุกข์เล็กทุกข์น้อยที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่มากพอจะทำให้คนคนหนึ่งเกิดสติได้
ยังมีการตรวจอีกหลาย ๆ อย่าง คือ ตรวจหัวใจ ตรวจปอด ตรวจเลือด อย่างละเอียดและตรวจปัสสาวะ ซึ่งนั้นต้องใช้เวลาอีก 1 วันเต็ม ๆ ยังดีที่ผลการฉีดสีและตรวจทั้งหมดของฉันออกมาดี หมอบอกว่าร่างกายฉันพร้อมรับการรักษาทุกอย่างดีมาก เม็ดเลือดแดง 5900 เม็ดเลือดขาว 6700 คนอื่น ๆ สิบกว่าคนที่รักษารุ่นเดียวกันกับฉัน หมอสั่งแค่ฉายแสงอย่างเดียวบ้าง บางคนก็ฉายแสงและให้ยาเคมีบำบัด บางคนฉายแสงคู่กับฝังแร่ ไม่มีใครเลยที่หมอสั่งมาทำพร้อมกัน 3 อย่างเหมือนฉัน คือ ฉายแสง ให้ยาเคมี และฝังแร่ ฉันเป็นคนเดียวในกลุ่มจริง ๆ ที่ต้องรักษา 3 อย่าง แล้วนี้ร่างกายฉันจะทนได้หรือไม่หนอ
เมื่อการรักษาสัปดาห์แรกผ่านไป ฉันฉายแสงไป 5 ครั้งแล้ว และได้รับยาเคมีบำบัดฉีดเข้าเส้นไป 1 เข็ม ร่างกายฉันก็เริ่มออกอาการไม่ทนต่อแสงและยา มันคลื่นไส้ ปั่นป่วนไปหมด กลับจากโรงพยาบาลก็เข้าห้องน้ำ ถ่ายวันละ 7-8 ครั้ง ปากเริ่มแห้ง มีตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นที่เหงือก และเริ่มมีอาการริดสีดวงทวารที่ฉันเป็นอยู่แล้วเล็กน้อย ขณะนี้มันกำเริบเพราะถ่ายบ่อยครั้ง ทุกข์ทรมานมาก อาการทั้งหมดนี้ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็น เพราะก่อนรักษา หมอก็ให้เอกสารมาอ่านผลข้างเคียง แต่ฉันไม่นึกว่ามันจะรุนแรงเท่านี้ และฉันยังมีอาการเพิ่มอีกอย่างคือมีลมมาก จนดูเหมือนในตัวฉันมีแต่ลม คงเป็นเพราะฉันทานอาหารไม่พอ มันเบื่ออาหารไปหมดทุกชนิดนั่นเอง น้ำหนักเริ่มลดไป 2 ก.ก. ทันทีใน 1 สัปดาห์ นี่ฉันจะทำอย่างไรดี ถ้าน้ำหนักลดลงเรื่อย ๆ อย่างนี้คงไม่ดีแน่ เพราะการรักษาจะยาวนานไปอีกหลายวัน หลายเดือนหรืออาจจะหลายปีก็ได้ ฉันเริ่มคิดเรื่องทางเลือกใหม่ที่จะรักษาตัวเอง จะมีวิธีใดอีกหรือไม่ที่ฉันไม่ต้องทรมานจากผลข้างเคียงนี้ ฉันเริ่มให้ลูกชายค้นเรื่องมะเร็งปากมดลูกในอินเตอร์เนท พร้อมกับเริ่มค้นหนังสือที่กองอยู่ข้างตัว ในบรรดาหนังสือทั้งกอง มีเล่มหนึ่งสะดุดตามากชื่อ “ทางเลือกใหม่เพื่อพิชิตโรคมะเร็ง” คนที่ยืมมาให้ฉันอ่านคือลูกศิษย์ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์บรรณารักษ์หอสมุดสถาบันที่ฉันทำงานอยู่นั่นเอง ฉันค่อย ๆ อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างละเอียดทุกตัวอักษรอ่านประวัติคุณหมอ หวัง เจิ้น กั๋ว ผู้คิดค้นตัวยารักษามะเร็งด้วยความชื่นชมในความอุตสาหะวิริยะของท่าน จากเด็กจน ๆ คนหนึ่งในหมู่บ้านกันดาร เก็บสมุนไพรบนหุบเขาฉางไป๋ซานมาศึกษาวิเคราะห์รักษาคนในหมู่บ้าน จนมีชื่อเสียงได้รับเลือกไปเรียนแพทย์แผนปัจจุบัน เมื่อจบแล้วก็ใช้เวลาอีกนับสิบ ๆ ปี รวบรวมสมุนไพรที่รู้จัก คัดสรร ทดลอง จนได้ยาน้ำเทียนเซียนรักษาโรคมะเร็งสำเร็จ ผ่านการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากกระทรวงสาธารณสุขประเทศจีน อีก 4 ปีต่อมา ก็ผลิตยาน้ำเทียนเซียน ทั้งหมดนั้นใช้เวลาตั้งแต่ปี 2518 ถึง 2534 เกือบ 20 ปี ที่ชีวิตของคน ๆ หนึ่งทุ่มเท ศึกษาเรื่องเดียว คือ ยารักษามะเร็ง ฉันอ่านไปก็นึกถึงภาพไปตามตัวอักษร เห็นภาพคุณหมอวัยเด็กเดินท่อม ๆ ตามคนแก่ในหมู่บ้านไปเก็บสมุนไพร นึกถึงภาพตอนท่านเป็นนักศึกษาแพทย์ และท้ายสุดก็คือภาพที่ท่านนั่งคร่ำเคร่งกับการคัดเลือกสมุนไพรจาก 300 กว่าตัว ลงมาจนเหลือ 30 กว่าตัวที่นำมาปรุงรวมกัน กว่าจะได้ตัวยามารักษาโรคมะเร็งนั้น มันต้องยุ่งยาก เหน็ดเหนื่อยเพียงใด
ฉันเป็นอาจารย์ รายรับต่อเดือนไม่พอจะซื้อยาตัวนี้มารับประทาน ฉันจึงต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับยาตัวนี้อย่างละเอียดก่อนจะซื้อ ฉัน e-mail ถึงเพื่อนที่อยู่เมืองจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ให้ช่วยศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับยาตัวนี้ให้ฉันที คำตอบที่ได้รับสร้างความมั่นใจให้ฉันเป็นอย่างยิ่ง เพราะยาตัวนี้ได้ทดลองทางคลีนิค ไม่เฉพาะที่ประเทศจีนเท่านั้น ในปี 2531 ได้รับการยืนยันผลการทดลองที่ศูนย์มะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา ว่าอัตราการเห็นผลเท่ากับในจีน คือ 80% ส่วนตัวคุณหมอหวังเอง ก็ได้รับเชิญจากศูนย์มะเร็งทั้งที่อเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ให้ไปพูดเรื่องยาตัวนี้ หลายต่อหลายครั้ง
เหตุที่ฉันไม่กล้าซื้อยาเทียนเซียนตั้งแต่อ่านพบครั้งแรก เพราะมีเพื่อนหลายคนในเมืองไทย เอาตำรายาสารพัดชนิดมาให้ฉันตั้งแต่รู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง ขณะนี้ฉันก็ยังคงเก็บตำราเหล่านั้นไว้ในแฟ้ม เพื่อไว้เป็นอนุสรณ์ว่ามีผู้คนหวังดีต่อฉันมากมายนั้นข้อหนึ่งละ อีกข้อหนึ่งก็คือต่อไปฉันอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคมะเร็งเองก็ได้ ตำรายาเหล่านี้มีผู้ทดลองใช้มาแล้วมากมาย แต่ไม่มีการทดลองจริงจัง ไม่มีสถิติจดบันทึกว่าใครกินแล้วหายเท่าไร ตายเท่าไร เมื่อฉันได้รับการยืนยันจากเพื่อนฝูงว่า ยาน้ำเทียนเซียนมีผลการทดลองจริง ๆ ฉันจึงตัดสินใจซื้อ
ราวกับปาฏิหาริย์ ฉันทานไปได้แค่ 2 สัปดาห์ คุณหมอที่รักษาฉันก็ถามว่าคุณไปทานยาอะไรหรือเปล่า ทำไมก้อนเนื้อเล็กลงไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว แค่ฉายแสงไป 10 กว่าครั้ง ให้ยาเคมีบำบัด 2 เข็ม และฝังแร่ 1 ครั้ง ไม่น่าจะยุบลงเร็วเท่านี้ ฉันไม่กล้าบอกหมอว่าฉันทานยาน้ำเทียนเซียน เพราะก่อนทำการรักษาฉันก็เคยถามหมอมาครั้งหนึ่งแล้ว ว่าฉันจะทานยาจีนควบคู่ไปกับการรักษาได้หรือไม่ หมอบอกฉันว่ารักษาหมดคอร์สแล้วค่อยเริ่มทาน แต่ฉันขัดคำสั่งหมอ เพราะผลข้างเคียงจากการรักษาของหมอมันมากจนฉันไม่อาจทนได้ หลังการทานยาน้ำเทียนเซียน อาการคลื่นไส้ก็ลดลง ฉันไม่เคยอาเจียนอีกเลย อาการถ่ายท้องมีบ้าง พอทนได้ ริมฝีปากฉันไม่แห้ง ไม่มีเม็ดขึ้นที่เหงือก ผมไม่ร่วง ร่างกายแข็งแรงขึ้น ทานอาหารได้มากขึ้น ทุกวันฉันแต่งตัวออกจากบ้านไปโรงพยาบาลเพื่อรักษา คนที่พบเห็นฉันมักจะพูดว่า ฉันดูไม่เหมือนคนป่วยเลย ดูหน้าตาสดชื่นแจ่มใส่เหมือนคนปกติ ฉันได้แต่ขอบคุณยาน้ำเทียนเซียนอยู่ในใจ รวมทั้งขอบคุณอานิสงส์ของการสวดมนต์ปฏิบัติธรรมด้วย
เมื่อจบสิ้นการรักษา คือ ฉายแสง 25 ครั้ง ให้ยาเคมี 6 เข็ม และฝังแร่ 4 ครั้ง หมอก็นัดตรวจ เพื่อน ๆ ร่วมกลุ่มที่รักษาพร้อมกัน ไม่มีใครเลยที่จะได้ผลเท่าฉัน คนอื่น ๆ ออกจากห้องตรวจจะพูดว่า หมอบอกก้อนมะเร็งยังอยู่อีก 40% 50% หรือ 60% ยาและรังสีจะอยู่ในตัวเรา รักษาต่อไปอีก 3 เดือน หวังว่าจะค่อย ๆ เล็กลง สำหรับฉันนั้น ลองทายดูซิว่าหมอพูดว่าอย่างไร หมอบอกว่ารับรองหาย 90% เพราะเหลือจุดแดง ๆ เล็ก ๆ ไม่เป็นก้อนมะเร็งแล้ว จากก้อน 4 เซนต์ เหลือจุดแดงเท่าปลายนิ้วก้อยได้อย่างไรในเวลา 2-3 เดือน ปัจจุบันฉันยังทานยาน้ำเทียนเซียนอยู่เสมอ และคิดว่าคงจะต้องทานต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ กันไว้ไม่ให้ก้อนมะเร็งโต
อีกหนึ่งเดือนถัดจากนั้น หมอนัดตรวจทุกคน ฉันพบเพื่อนบางคนพร้อมกับรับฟังข่าวไม่สู้ดี เพราะก้อนเนื้อของหลายคนโตขึ้นมาอีก สำหรับฉันหมอบอกว่าจุดแดง ๆ นั้นก็หายไปแล้ว มะเร็งหายไปจากตัวฉันแล้ว เหลือเชื่อจริง ๆ ขอบคุณ คุณหมอหวัง ขอบคุณยาน้ำเทียนเซียน และขอบคุณคุณหมอแห่งโรงพยาบาลศิริราช ผู้ซึ่งดูแลฉันอย่างมากและอย่างดีตลอดการรักษา ครั้งนี้ฉันจะเป็นคนใหม่ที่ให้เวลาดูแลตนเองโดยยึดหลัก 4 อ. คือ
1. อาหาร ต้องสะอาดปราศจากสารพิษทุกชนิด
2. อากาศ ต้องหายใจรับอากาศบริสุทธิ์
3. อารมณ์ ต้องแจ่มใส ไม่เครียด เพราะความเครียดเป็นบ่อเกิดของโรคหลายชนิด
4. ออกกำลังกาย ต้องมีวินัยในการออกกำลังกายทุกวัน หรืออย่างน้อย 3 วันใน 1 สัปดาห์
ฉันตั้งใจจะปฏิบัติตาม 4 อ. อย่างเคร่งครัด ให้สมกับที่ได้ชีวิตใหม่กลับมา และทุกครั้งที่ฉันรู้ว่าใครเป็นมะเร็งและมีกำลังพอจะซื้อยาน้ำเทียนเซียนได้ ฉันจะไม่รีรอที่จะแนะนำให้รีบซื้อมารับประทานก่อนที่โรคจะลุกลาม รวมทั้งสิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุด คือ สวดมนต์ ตั้งจิตทำสมาธิ วิปัสสนา เพราะการปฏิบัติธรรมนี้เองที่ฉันแน่ใจว่า เป็นบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ด้วยเพราะได้ตั้งจิตอธิษฐานแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุก วันนั่นเอง จิตฉันจึงสงบไม่ทุรนทุรายและนิ่งรับการรักษา รับกรรมโดยดุษฎี
ประสบการณ์ของคุณประทุม วงษ์วันทนีย์ ที่สามารถเอาชนะมะเร็งร้ายได้นั้น มีหลายมิติที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ที่ต้องมีสติและความเข้มแข็ง ส่วนคนรอบข้างทุกคนตั้งแต่คนในครอบครัว สามี ลูก ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน และผู้บังคับบัญชา ต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมกันต่อสู้ โดยมีการรักษาตามแผนปัจจุบันและแผนโบราณหรือสมุนไพรมาช่วยสนับสนุน
หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011
Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้