วิธีจัดการผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ตอนที่ 3

วันที่ 27-03-2012 | อ่าน : 23237


อาการดีขึ้น" รวมข่าวเกี่ยวกับ "อาการดีขึ้น" เรื่องราวของ"อาการดีขึ้น" 
 
วิธีจัดการผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ตอนที่ 3
ท้องผูก
     ยาเคมีบำบัดบางชนิดส่งผลทำให้ท้องผูก  ถ้าเราทานน้ำน้อย  ยาแก้ปวด  เป็นโรคลำไส้ (มีภาวะลำไส้อุดตัน)  รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย (Fiber) ก็ทำให้ท้องผูกได้เช่นกัน ถ้าท้องผูกเกิน 2-3 วัน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อแพทย์จะแนะนำยาระบายให้ทานหรือลองปฏิบัติตัวตามวิธีที่กล่าวดังต่อไปนี้ เพื่อบรรเทาอาการท้องผูกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับประทานยาระบาย
   - ดื่มน้ำบ่อยๆ  อย่างน้อยวันละ  2 – 3 ลิตร   ถ้าไม่มีปัญหาในช่องปาก  เช่น  ปากเป็นแผล  เจ็บคอ  เป็นต้น  ให้ทานน้ำอุ่นหรือร้อนนิดหน่อย
   - ควรดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าเพื่อกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
   - รับประทานอาหารที่มีกาก  หรือเส้นใยสูง  เช่น  ผักสด  ผลไม้    
   - ออกกำลังกายเบาๆ ทุกวัน  เช่น  การเดินเล่นทุกวัน  วันละ  30 นาที
   - ฝึกนิสัยในการขับถ่ายอุจจาระทุกเช้าให้เคยชิน
 
ผลข้างเคียงที่มีต่อผิวหนังและเล็บ
     ขณะได้รับยาเคมีบำบัด  ผิวหนังอาจจะมีอาการคันแดง  แห้งเป็นขุย  นอกจากนี้ผิวหนังก็ไวกับแสงแดดได้ง่ายขึ้น  บริเวณที่ได้รับยาผิวหนังอาจมีช้ำ  ดำเป็นจ้ำ  แต่อาการเหล่านี้จะหายไปหลังจากสิ้นสุดการทำเคมีบำบัด  ส่วนเล็บอาจจะมีสีดำ เหลือง  เปราะง่าย
     ปัญหาเหล่านี้อาจจะดูไม่รุนแรงเหมือนปัญหาอื่นๆ แต่อาการบางอย่างอาจจะนำไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงได้  เช่น  บริเวณที่รับยานอกจากจะมีการช้ำเป็นจ้ำบริเวณที่ได้รับยาแล้ว  ยังมีอาการปวดแสบมาก  ควรรีบปรึกษาแพทย์  บางอาการอาจจะหมายถึงการแพ้ยาก็ได้  เช่น  เป็นผื่นคันแดงทั้งตัว  เป็นต้น
 
การดูแลผิวหนังและเล็บ
   - สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องสิว  ควรล้างหน้าให้สะอาดและอาจปรึกษาแพทย์ถ้าต้องการใช้ยาทาสิว
   - หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน  และการสัมผัสความร้อน
   - ควรใช้สบู่ที่ผสมมอยเจอร์ไรเซอร์ (moisturizer)  ถ้าผิวแห้งมาก
   - ทาครีมบำรุงหรือโลชั่นขณะผิวยังชื้นๆ อยู่
   - หลีกเลี่ยงน้ำหอม  โคโลญน์  หรือโลชั่นหลังโกนหนวดที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
   - สวมถุงมือเวลาล้างจานชาม  ทำงานบ้าน  ปลูกต้นไม้  เพื่อป้องกันเล็บ
   - เล็บที่หนาและมีสีคล้ำขึ้นนั้นขึ้นนั้น  เล็บที่งอกใหม่จะกลับมามีสีปกติภายหลังหยุยา  10 – 12 สัปดาห์
   - หลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงเวลาตั้งแต่ 10.00 น. จนถึง 16.00 น. เพราะช่วงเวลานี้แสงแดดค่อนข้างแรงมาก
   - ผลิตภัณฑ์กันแดดควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกันแดด SPF (sun protection factor) 15 ขึ้นไป
   - ลิปบาล์มที่ใช้ควรผสมสารกันแดดด้วย
   - ควรใส่เสื้อและกางเกงขายาวขณะออกจากบ้านและใส่หมวกในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการผมร่วงเพื่อป้องกันแสงแดด
   - ประคบด้วยถุงเย็นหรือแช่มือและเท้าในน้ำเย็น  เพื่อลดการไหลเวียนของเลือดไปยังฝ่ามือและฝ่าเท้า
ผลข้างเคียงต่อตับและไต
     ยาเคมีบำบัดบางชนิดมีผลต่อตับและไต  ดังนั้นก่อนทำเคมีบำบัดแพทย์จะทำการตรวจปัสสาวะ เลือด เพื่อดูการทำงานของตับและไต  ผู้ป่วยสามารถสอบถามแพทย์ว่ายาที่ได้รับจะมีผลต่อตับและหรือไม่ ยาเคมีบำบัดบางตัวอาจจะทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนสีได้เป็นสี ส้ม แดง เป็นต้น หรือมีกลิ่นของยาเวลาปัสสาวะในช่วงเวลา 1-3 วันหลังจากทำเคมีบำบัด  หากผู้ป่วยมีอาการต่อไปนี้ควรรีบติดต่อแพทย์
   - ปวดแสบเวลาปัสสาวะ
   - ปัสสาวะถี่มาก หรือ ไม่สามารถปัสสาวะได้
   - ปัสสาวะมีเลือดปน
   - มีไข้สูง  หนาวสั่นมากๆ   
 
ผลข้างเคียงต่อระบบขับถ่ายปัสสาวะ
     ผู้ป่วยควรซักถามแพทย์ผู้ดูแลว่าในวันหนึ่งๆ  ทานจะดื่มน้ำได้มากน้อยเพียงใด  ในบางครั้งท่านอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกติ  เพื่อจะให้การทำงานของไตเป็นปกติขณะได้รับยาต้านมะเร็ง  นอกจากน้ำบริสุทธิ์แล้ว  น้ำผลไม้  ชา  ซุป  ไอศกรีม  น้ำแข็ง  วุ้น  เป็นอาหารที่ให้น้ำแก่ร่างกายเช่นกัน  ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  เช่น สุรา  เบียร์  ไวน์ ขณะได้รับเคมีบำบัด
 
สภาวะเหมือนเป็นไข้หวัด
     ส่วนมากผู้ป่วยมักจะมีอาการคล้ายเป็นหวัดหลังจากได้รับเคมีบำบัดในวันนั้นๆ โดยมักจะเป็นไม่กี่วันก็จะหาย  ส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัดแบบผสมกับยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน อาการที่เกิดขึ้น คือ  ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย  คลื่นไส้อาเจียน  มีไข้ต่ำ (ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส)  และไม่ค่อยอยากทานอาหาร
 
ผลกระทบระบบสืบพันธุ์
 -  เพศชาย
     ยาเคมีบำบัดอาจจะทำให้อสุจิ (Sperm) มีจำนวนลดน้อยลงและความสามารถในการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิด้วย อาการนี้อาจจะเกิดขึ้นชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขภาพและอายุ ผู้ป่วยสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้แต่ต้องใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ หรืออาจจะใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่น เพราะยาเคมีส่งผลให้โครโมโซมที่ตัวอสุจิโดนทำลายไป และทารกที่เกิดมาอาจไม่สมบูรณ์ หลังจากที่เสร็จสิ้นการทำเคมีบำบัด (การทำเคมีบำบัดครั้งสุดท้าย) ในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงแรกนั้น ควรจะต้องใส่ถุงยางอนามัยด้วยถ้าต้องการมีเพศสัมพันธ์   

 -  เพศหญิง
     ยาเคมีบำบัดสามารถส่งผลต่อรังไข่และการผลิตฮอร์โมนลดลง ในผู้ป่วยผู้ป่วยผู้หญิงบางรายอาจจะมีอาการลักษณะเหมือนวัยหมดประจำเดือนหรือที่เรียกว่าวัยทอง  หรือประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ  อารมณ์จะค่อนข้างแปรปรวนได้ง่าย  สำหรับการมีเพศสัมพันธ์สามารถมีได้ตามปกติแต่ควรมีการคุมกำเนิดร่วมด้วย  ถ้าเกิดช่องคลอดมีอาการแห้งสามารถใช้เจลหล่อลื่นสำหรับช่องคลอดได้  ไม่ควรใช้วาสลีนเพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้  หรือปรึกษาแพทย์

 -  การตั้งครรภ์
     แม้ว่าขณะทำเคมีบำบัดผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์มีบุตรได้แต่ไม่ควรเพราะทารกที่เกิดมาอาจจะไม่สมบูรณ์มีความผิดปกติกับเด็กได้  เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องคุมกำเนิดในกรณีที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัด  เช่น  ให้ฝ่ายชายใช้ถุงยางทุกครั้งขณะมีเพษสัมพันธ์  ใส่ห่วง  เป็นต้น  สำหรับยาคุมกำเนิดอาจจะไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยบางราย  เช่น  ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านม (Breast cancer) ท่านอาจจะปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสม
 
ผลกระทบต่อภาวะอารมณ์และจิตใจ 
     อาจจะมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง  เช่น  ซึมเศร้า  กลัว  โกรธ  หรือหมดหวัง  ความรู้สึกดังกล่าวไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพและมีผลด้านลบต่อการรักษาของผู้ป่วย  ผู้ป่วยจึงต้องการกำลังใจและความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง  การได้พูดคุยเปิดเผยความรู้สึกและความต้องการของผู้ป่วยต่อครอบครัว  เพื่อนฝูง  แพทย์  และพยาบาล  อาจำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง  ควรเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันใหม่บ้าง  เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจเบื่อหน่าย  
 
ผลข้างเคียงอื่นๆ
     สีของปัสสาวะอาจเปลี่ยนได้เมื่อได้รับยาเคมีบำบัด  บางตัวอาจทำให้มีสีแดงเข้ม  หรือสีเหลืองสดได้  อาการคล้ายอาการเป็นหวัด  ถ้ามีอาการปวดกล้ามเนื้อ  ปวดศีรษะ  อ่อนเพลีย  มีไข้ต่ำๆ  หลังจากได้ยา  อาจเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง  อาการนี้จะหายไปภายใน  48  ชั่วโมง  ถ้าไม่หายต้องรีบไปปรึกษาแพทย์ อาการที่ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์
- น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- เลือดออกไม่หยุด,  มีจ้ำเลือดตามร่างกาย
- มีไข้สูงเกิน  38  องศาเซลเซียส,  ปวดศีรษะ
- ท้องเดินหรือท้องผูกอย่างรุนแรง
- เจ็บแสบ  หรือมีแผลบริเวณริมฝีปาก  เยื่อบุในช่องปาก  และลำคอมากจนรับประทานอาหารไม่ได้
- ผิวหนังบริเวณที่ให้น้ำเกลือมีอาการ  ปวด  เจ็บ  แสบ  สีผิวเปลี่ยนไปสีแดงหรือสีน้ำตาลเข้ม
- พบจุดจ้ำเลือด  ตามผิวหนังบริเวณแขน  ขา  ลำตัวหรือใบหน้า
- กำลังมีประจำเดือนหรือมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- อุจจาระมีเลือดปน
 
 

ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ฟรี คลิกที่นี่ หรือโทร 02-6640078     

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
การรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
ความรู้มะเร็ง

ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011

Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้