วิธีจัดการผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ตอนที่ 1

วันที่ 20-03-2012 | อ่าน : 36197


ผลข้างเคียงจากการทำ “เคมีบำบัด” เพื่อรักษามะเร็ง
 
วิธีจัดการผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ตอนที่ 1
 
เซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ที่การเจริญเติบโตแล้วแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นเมื่อได้รับยาเคมีบำบัดไปแล้วยาก็จะไปออกฤทธิ์ที่เซลล์มะเร็ง  แต่ยาก็มีผลต่อเซลล์ปกติที่มีคุณสมบัติในการเจริญและแบ่งตัวเร็วด้วย  เช่น  เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร, เส้นผม, เม็ดเลือด  เป็นต้น  การที่เซลล์ปกติถูกทำลายนั้นก็คือสาเหตุของผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด  ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ  ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากยาไปทำลายเซลล์ที่ดีในร่างกายของผู้ป่วยนั่นเอง
 
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย  ชนิดของยา  และขนาดของยารวมถึงระยะเวลาที่ได้รับยาด้วย  ดังนั้นก่อนจะเริ่มทำเคมีบำบัดควรพูดคุยปรึกษาแพทย์ถึงอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น  เช่น  คลื่นไส้อาเจียน,  ผมร่วง,  ท้องร่วง,  ท้องผูก,แผลในปาก,  ปริมาณเม็ดเลือดลดลง,  เบื่ออาหาร,  การรับรสเปลี่ยนไป  อาจรู้สึกขมในปาก,  ลิ้นแข็ง  รู้สึกชา,  กล้ามเนื้ออ่อนแรง,  มีผื่นอาการแพ้,  มีไข้,  ปวดมากบริเวณฉีดยา  เป็นต้น  อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปเมื่อสิ้นสุดการให้ยาเคมีบำบัด
 
การแก้ไขบรรเทาอาการข้างเคียงที่พบบ่อย
 
อ่อนเพลีย
      ความรู้สึกอ่อนเพลีย  ไม่มีแรงเป็นอาการผิดปกติของผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่แล้ว  แต่สาเหตุที่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียนั้น  ก็ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริง  เพราะอาการนี้สามารถเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ทำเคมีบำบัด  รังสีรักษา  ผ่าตัด  พักผ่อนไม่เพียงพอ  อาการปวด  เครียด  เป็นต้น  แต่อาการอ่อนเพลียในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งนั้นจะต่างจากคนปกติตรงที่ไม่ว่าจะพักผ่อนมากน้อยขนาดไหนก็ยังรู้สึกเพลียอยู่
 
ข้อควรปฏิบัติเวลาเรารู้สึกอ่อนเพลีย
     - ไม่ควรให้ผู้ป่วยนอนอยู่กับเตียงตลอดทั้งวัน  ถ้าผู้ป่วยพอช่วยเหลือตัวเองได้
     - ควรจะจัดแบ่งเวลาให่ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมบ้าง
     - หาเวลาออกกำลังกายบ้างแต่ควรเป็นการออกกำลังกายเบาๆ
     - รับประทานอาหารทีละน้อยแต่จำนวนมื้อที่ทานมากขึ้นพูดง่ายๆ ก็คือ  ทานน้อย  แต่ถี่ขึ้น
     - หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน  แอลกอฮอล์
     - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์  เช่น  แป้ง  น้ำตาล  ไข่  เนื้อสัตว์  นม  ผัก  ผลไม้
คลื่นไส้  อาเจียน
      ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดมักจะกลัวอาการคลื่นไส้  อาเจียน  แต่ในปัจจุบันนี้ได้มียาเคมีบำบัดตัวใหม่ออกมาที่ไม่ค่อยมีอาการคลื่นไส้อาเจียน  โดยปกติแพทย์จะให้ยาคลื่นไส้อาเจียนเพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนอยู่แล้ว
 
วิธีช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน
     - ผู้ป่วยบางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียน  แม้เพียงคิดถึงการได้รับยาต้านมะเร็ง  ทั้งนี้เพราะความกังวลที่เกิดจากการรักษา  และการคาดคะเนว่าจะรู้สึกไม่สบายหลังจากนั้น  หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว  ควรนอนหงายราบๆ  ในที่เงียบสัก  15 – 40 นาที  ก่อนรับยาและก่อนที่จะรับยาควรหาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นๆ  ประคบที่ตาทั้ง  2 ข้าง  หากต้องการให้มีเพื่อนอยู่ใกล้ขณะนั้น  ก็ควรหาใครสักคนอยู่ด้วย  การสนทนาจะช่วยให้ท่านสนใจเกี่ยวกับสิ่งอื่นๆและช่วยลดความรู้สึกอยากอาเจียนลง
     - พยายามดื่มน้ำทีละน้อยแต่เน้นจิบบ่อยๆ  เช่น  น้ำขิง  น้ำส้ม  น้ำมะนาว  และพยายามทานน้ำหลังอาหารประมาณครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง  
     - พยายามทานอาหารจำนวนน้อย  แต่จำนวนมื้อมากขึ้น  และพยายามเคี้ยวให้ละเอียดเพื่อจะได้ย่อยง่ายมากขึ้น  ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเป็นเวลา  
     - อย่าใส่เสื้อที่คับแน่นร่างกาย
     - หลีกเลี่ยงกลิ่นที่ทำให้รู้สึกคลื่นไส้  เช่น  กลิ่นบุหรี่  กลิ่นอาหาร  กลิ่นน้ำหอม  
     - พยายามหลีกเลี่ยงอาหารหวาน  ของทอดหรืออาหารมันๆ  และอาหารรสจัด  
     - ควรรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง  เช่น  ขนมปังกรอบ  ขนมปังปิ้ง  น้ำหวาน  
     - ไม่ควรนอนหลังจากทานอาหารเสร็จ  ถ้าต้องการจะนอนพักผ่อนก็ควรให้ผ่านไปประมาณ  2  ชั่วโมงก่อน
     - ถ้าเคยมีอาการคลื่นไส้อาเจียน  ขณะกำลังรับยาเคมีบำบัด  ผู้ป่วยควรงดทานอาหารอย่างน้อย  2 - 3  ชั่วโมงก่อนทำเคมีบัด
     - ผ่อนคลายความเครียดด้วยการฟังเพลง  อ่านหนังสือ  เดินออกกำลังกาย
     - ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ยาระงับอาการคลื่นไส้อาเจียนไว้
 
อาการปวด
     อาการปวดอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกๆ คนที่ทำเคมีบำบัด  แต่ถ้ามีอาการปวดเกิดขึ้นควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการปวดที่เกิดขึ้น  หรือผู้ใกล้ชิด/ญาติเพื่อที่จะได้ช่วยหาทางบรรเทาอาการที่ควรรายงานให้แพทย์  เพื่อที่จะได้ทราบสาเหตุและได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
     - ปวดที่บริเวณไหนของร่างกาย
     - ลักษณะอาการปวด  ปวดแบบตึบๆ จี๊ดๆ ปวดแบบมีการสั่นร่วมด้วย ปวดแบบชาๆ เป็นต้น
     - ปวดมากน้อยขนาดไหน  เช่นพอทนได้  พอมากจนนอนไม่หลับ  เป็นต้น
     - ระยะเวลาของการปวด  เช่น  ปวดสักพักก็หายปวดทั้งวัน
     - ยาที่รับประทาน  และหลังจากที่รับประทานยาด้วย  ควรทานตามที่แพทย์สั่งไม่ควรทานพร่ำเพรื่อ  ในช่วงที่ยาแก้ปวดออกฤทธิ์  เราอาจจะมีการบริหารบริเวณที่ปวดเบาๆ เพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
 
ผมร่วง
ผมร่วงเป็นผลข้างเคียงปกติของยาเคมีบำบัดอยู่แล้วแต่อาการนี้ไม่ได้เกิดกับยาเคมีบำบัดทุกตัว  นอกจากเส้นผมแล้วบริเวณต่างๆ ของร่างกายที่มีเส้นขนบนใบหน้า  แขน  ขา  หรือใต้รักแร้  เป็นต้น  อาการนี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากได้รับยาเคมีบำบัดชุดแรก  แต่อาจจะเกิดขึ้นในชุดที่ 2-3 ของการทำเคมีบำบัดก็ได้  อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นการทำเคมีบำบัดอาการเหล่านี้จะหายไปและเส้นผมที่เคยหลุดร่วงไปก็จะกลับขึ้นมาเหมือนเดิม
 
การดูแลเส้นผมและหนังศีรษะระหว่างที่ทำยาเคมีบำบัด
     - ควรใช้แชมพูสระผมแบบอ่อน
     - แปรงหวีผมควรใช้แปรงที่มีขนอ่อนนุ่มหรือที่มีซี่ห่างๆแปรงผมเบาๆ
     - ควรหลีกเลี่ยงการไดร์ผม  อบผม
     - การไว้ผมสั้นจะช่วยให้ผมดูหนาขึ้นกว่าไว้ผมยาว
     - ในกรณีที่ผมร่วงหมด  ควรจะทาครีมกันแดดที่หนังศีรษะด้วยและใส่หมวกเพื่อป้องกันแสงแดด
     - หลีกเลี่ยงการทำสีผม  ดัด  ยืดผม
     - หลังสระผม  ซับผมหรือหนังศีรษะเบาๆ  ไม่ควรขยี้
     - ควรสวมหมวกเวลานอน
     - ปลอกหมอนควรเป็นผ้าซาติน  จะได้ไม่เกิดเสียดทานกับหนังศีรษะ
     - ปรึกษาแพทย์ที่รักษาก่อนการใช้สารเคมีใดๆกับผม
     - หลังหยุดการรักษาผู้ป่วยที่มีผมร่วง  ผมจะงอกขึ้นมาใหม่ในเวลาประมาณ  1 - 3 เดือน  ภายหลังหยุดยา  ผมจะงอกเหมือนเดิมหรืออาจดูดีกว่าเดิม   

 

โปรดติดตามตอนต่อไป
 ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ฟรี คลิกที่นี่ หรือโทร 02-6640078    
 

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง
การรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
ความรู้มะเร็ง

ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011

Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้