มะเร็งช่องปาก

วันที่ 17-11-2011 | อ่าน : 244328


 มะเร็งช่องปาก
 

 
 
     อวัยวะในช่องปาก  อาจเกิดโรคมะเร็งได้ในทุกตำแหน่ง  ได้แก่  ลิ้น  กระพุ้งแก้ม  ริมฝีปาก  เหงือก  เพดานปาก  พื้นปากใต้ลิ้น ลิ้นไก่  ต่อมทอนซิล  และส่วนบนของลำคอ 
    
มะเร็งในช่องปาก โดยมักพบในคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป  และพบน้อยลงหลังจากอายุ 60 ปีไปแล้ว  แต่ปัจจุบันประชากรผู้สูงอายุมีมากขึ้นจึงอาจจะพบมะเร็งในช่องปากในผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นได้  และมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง  อาจจะเป็นเพราะผู้ชายมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า
 
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค
 
  1.พบว่าประมาณ 90% ของผู้ป่วยมะเร็งช่องปากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มสุรา  จะมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่และดื่มสุราถึง 15 เท่า
 
  2.การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัดเกินไป  เนื่องจากความร้อนที่มาจากอาหาร ควันบุหรี่ และแอลกอฮอล์ จะทำให้เกิดการระคายเคือง เมื่อถูกระคายเคืองอยู่เป็นประจำ  ทำให้เนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  และอาจทำให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้  
 
  3.หมากพลู  พบว่าในหมากพลูนี้จะมีสารก่อมะเร็ง  ซึ่งผู้ที่กินหมากและอมหมากไว้ที่กระพุ้งแก้มเป็นประจำ  จะเกิดการระคายเคืองจากความแข็งของหมากที่เคี้ยว  ก็อาจทำให้เซลล์ของเนื้อเยื่อกระพุ้งแก้มเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
 
  4.สุขภาพในช่องปากไม่ดี  เช่น  ฟันผุเรื้อรัง  รวมถึงการระคายเคืองจากฟันที่แหลมคมผู้ที่มีฟันแตก  ฟันบิ่น  ขอบฟันที่คมจะบาดเนื้อเยื่อในช่องปากโดยเฉพาะกระพุ้งแก้มและลิ้น  ทำให้เป็นแผลเรื้อรังอยู่นานๆ แผลนั้นอาจกลายเป็นมะเร็งได้  
 
  5.แสงแดดทำให้เกิดมะเร็งที่บริเวณริมฝีปาก
 
  6.โรคติดเชื้อเรื้อรัง  เช่น  ซิฟิลิส  วัณโรค
 
  7.การระคายเคืองเรื้อรัง  เช่น แผลจากฟันปลอม
 
  8.เคยได้รับรังสีเอกซเรย์
การวินิจฉัย
     เนื่องจากมะเร็งในช่องปาก  เป็นตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่ายจากการตรวจร่างกาย  ร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อจากตำแหน่งที่สงสัยเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา  จึงสามารถทำให้การวินิจฉัยได้สะดวกและแม่น  ซึ่งขั้นตอนในการวินิจฉัยจะมีรายละเอียด  ดังนี้คือ
 
  1.การซักประวัติ  
 
  2.การตรวจร่างกาย  แพทย์มักจะทำการตรวจศีรษะและคออย่างละเอียด  รวมถึงสำรวจผิวหนังบริเวณใบหน้า  ศีรษะ  และคอ  สำรวจเยื่อบุในปากโดยใช้ไม้กดลิ้นช่วย  หรือใช้มือคลำในช่องปากหลังถอดฟันปลอมออกแล้ว  ตลอดจนใช้เครื่องส่องดูบริเวณจมูก  หู  และโคนลิ้น  บางรายอาจตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
 
  3.การตรวจเลือดและอื่นๆ  เช่น  ปัสสาวะ  พบว่า ร้อยละ 5 ของมะเร็งในช่องปากจะให้ผลวีดีอาร์แอล (VDRL) ให้ค่าผลเป็นบวก บางรายอาจต้องเจาะเลือดตรวจดูการทำงานของตับ (Liver function test) ด้วยในรายที่สงสัยว่าจะมีการลุกลามแพร่กระจายไปยังตับ ส่วนในรายที่มีการติดเชื้อหรือมีปอดอักเสบจากการสำลักเศษอาหารเข้าปอด แพทย์มักจะส่งหนองหรือเสมหะไปเพาะเชื้อตรวจ
 
  4.การเอ็กซเรย์  จะช่วยวินิจฉัยว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายลุกลามไปถึงกระดูกแล้วหรือไม่  และอาจช่วยพยากรณ์โรคด้วย  
 
  5.การตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา  ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา  โดยมักพิจารณาจากตำแหน่ง  ขนาด  และชนิดของก้อนนั่นเอง
 
การแพร่กระจาย
 
มะเร็งในช่องปาก มีการแพร่กระจายได้ 3 ทาง  คือ
 
  1.การลุกลามแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง (Local invasion)
 
  2.เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่คอ (Lymphatic spread) พบได้บ่อย
 
  3.เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด  ซึ่งพบไม่บ่อย  และมักจะเกิดขึ้นในรายที่เป็นมากแล้ว
 
มะเร็งทางด้านหน้าของช่องปากมักจะโตช้าและกระจายช้ากว่ามะเร็งที่อยู่ด้านหลัง  เช่น  มะเร็งริมฝีปากจะโตช้ากว่ามะเร็งโคนลิ้น 
 
อาการและอาการแสดง
 
1.เริ่มด้วยมีแผลในช่องปากรักษาไม่หายเป็นเวลานานเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป และไม่เจ็บปวด
 
2.มีฝ้าขาวในช่องปาก ร่วมกับตุ่มนูนบนเยื่อบุช่องปากและลิ้น
 
3.มีก้อนไม่รู้สึกเจ็บในช่องปาก โตเร็ว และในที่สุดก็แตกออกเป็นแผล
 
4.ต่อมามีก้อนที่คอเกิดขึ้น  กดไม่เจ็บ  บวมโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งแตกออกเป็นแผล
 
     โดยทั่วไปแล้วในระยะเริ่มแรกของมะเร็งมักไม่มีอาการเจ็บ  นอกจากมีการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วย  แต่มะเร็งของลิ้นหรือลำคอในบางตำแหน่งอาจทำให้เกิดการเจ็บในหูขณะกลืนอาหารได้เพราะมีเส้นประสาทร่วมกัน  บางครั้งจึงไม่ได้รับการใส่ใจกับการตรวจในช่องปากและลำคอโดยตรง
 
     การเป็นแผลหรือก้อนที่ตำแหน่งต่างๆ  เช่น  ริมฝีปาก  กระพุ้งแก้ม  เพดานปาก  ลิ้นไก่  ลิ้น  และใต้ลิ้น  สำหรับมะเร็งของลิ้นและพื้นปากใต้ลิ้นอาจทำให้มีอาการแลบลิ้นไม่ออก  พูดไม่ชัด  กลืนอาหารไม่สะดวก  เพราะการเคลื่อนไหวของลิ้นไม่เป็นปกติ  ในรายที่เป็นมากอาจจะมีการฝ่อของลิ้นได้
 
     ในรายที่รอยโรคอยู่ใต้ขากรรไกร  โดยเฉพาะเมื่ออยู่ที่เหงือกในตำแหน่งหลังต่อฟันกราม  ซึ่งมีการลุกลามเข้าไปในกล้ามเนื้อที่ใช้ในการอ้าปากหรือขากรรไกรได้ง่าย  จะทำให้อ้าปากได้ลำบาก
 
การรักษา
 
     การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของมะเร็ง  รวมทั้งระยะของโรคสำหรับรอยโรคขนาดเล็ก  อาจผ่าตัดออกได้โดยไม่ทำให้เกิดการผิดรูปของใบหน้า  สำหรับในบางตำแหน่ง  เช่น  ริมฝีปาก  การใช้รังสีรักษาจะให้ผลการรักษาที่ดีเท่ากันกับการผ่าตัด  แต่มีข้อดีที่เหนือกว่า  คือ  ยังสามารถรักษาโครงสร้างและการทำงานปกติไว้ได้ ส่วนในระยะลุกลาม  จะใช้การรักษาร่วมระหว่างการผ่าตัดและการฉายรังสี ส่วนเคมีบำบัดนั้นอาจมีบทบาทร่วมในการลดขนาดก้อนที่ใหญ่มากก่อนเริ่มการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือฉายรังสี
 
การป้องกันและข้อควรปฏิบัติ
 
  1.ควรแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3 – 5 นาที
 
  2.ควรบ้วนปากหลังรับประทานอาหารทันทีและทุกครั้ง
 
  3.ควรล้างฟันปลอมชนิดถอดได้หลังรับประทานอาหารทุกครั้งและควรถอดออกเวลากลางคืน
 
  4.ควรใช้ฟันทุกซี่เคี้ยวอาหาร  ไม่ควรถนัดเคี้ยวข้างเดียว เพื่อให้เหงือกและฟันแข็งแรง
 
  5.ควรไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน  เพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติถึงแม้จะไม่มีอาการเจ็บปวดก็ตาม
 
  6.ควรงดสิ่งเสพติด  ได้แก่  เหล้า  บุหรี่  ยาฉุน  และหมากพลู
 
  7.ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
 
  8.ควรใช้ยาตามทันตแพทย์และแพทย์สั่งเพื่อผลการรักษาที่ดีและป้องกันการดื้อยา
 
  9.หมั่นตรวจช่องปากอย่างง่ายๆ ด้วยตนเอง
รับข้อมูลมะเร็งช่องปากและการดูแลอย่างละเอียดได้ฟรี 
 
คลิกที่นี่ หรือโทร 02-6640078
 

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ความรู้มะเร็ง
การดูแลผู้ป่วย
การรักษามะเร็ง

ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย 213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 1011

Copyright © 2021 www.siamca.com ขอสงวนสิทธิ์ ในการนำรูปภาพ หรือ ข้อความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ หรือ ทำซ้ำ จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนจึงจะกระทำได้